KIT UDOM RICE

Premium Quality Rice from Ubon Ratchathani, Thailand.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

Premium Grade Hom Mali Rice

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้าวยั่งยืน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้าวยั่งยืน แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564

โครงการข้าวยั่งยืน เพื่อเกษตรกร

 โครงการข้าวยั่งยืน เพื่อเกษตรกร

         โครงการข้าวยั่งยืน เกิดจากความร่วมมือระหว่างกรมการข้าวและองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศเยอรมันหรือ GIZ เข้ามาส่งเสริมให้เกษตรกรในประเทศไทยปลูกข้าว เพื่อลดโลกร้อน คำนึงถึงความสมดุลของระบบนิเวศ ผมได้มีโอกาสลงพื้นที่พร้อมกับทีมงานโครงการข้าวยั่งยืนหลายครั้ง เห็นความตั้งใจจริงของทีมงานเป็นอย่างมากที่ทุ่มเทและเสียสละเพื่อเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งการฝึกอบรม การให้ความรู้ หาตลาด และมีเงินโบนัสช่วยเหลือเกษตรกรอีกด้วย 

            โครงการข้าวยั่งยืนเข้ามาพัฒนาเกษตรกรใน 3 มิติ ประกอบด้วย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

      • ด้านเศรษฐกิจ สมาชิกโครงการข้าวยั่งยืน หลังจากขายข้าวแล้ว หากข้าวมีคุณภาพที่ดี รักษาความบริสุทธิ์ของข้าวหอมมะลิ ทางโครงการจะมีเงินโบนัสเพื่อช่วยยกระดับรายได้ให้กับเกษตรกร 
      • ด้านสิ่งแวดล้อม โครงการข้าวยั่งยืนจะมีทีมวิทยากรลงพื้นที่เพื่อให้ความรู้กับเกษตรกร ใช้ปุ๋ยตามค่าการวิเคราะห์ดิน อยู่บนพื้นฐานทางวิชาการ ใช้เทคนิคการตัดข้าวพร้อมกับตัดหญ้า เพื่อลดการใช้ยาปราบวัชพืช นอกจากจะรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกรอีกด้วย 
      • ด้านสังคม โครงการข้าวยั่งยืนยังช่วยเกษตรกรหาตลาด ส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้รับประทานข้าวปลอดภัย นับว่าได้ประโยชน์ทั้งเกษตรกรจนถึงผู้บริโภค 

           ทีมงานข้าวยั่งยืนยังพบปัญหาว่า เกษตรกรในพื้นที่หลายคนยังใช้ปุ๋ยไม่ถูกวิธี ยิ่งใส่เยอะยิ่งได้ผลผลิตดี หรือเลือกซื้อปุ๋ยจากราคาที่ถูกเป็นหลัก โดยไม่รู้ว่าปุ๋ยชนิดนั้นไม่เหมาะกับดิน หรือซื้อปุ๋ยตามกระแสหรือตามคำแนะนำของคนขายปุ๋ย จึงทำให้ใช้ปุ๋ยอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เกิดเป็นต้นทุนอย่างไม่จำเป็น คุณพ่อมนตรี วิทยากรของโครงการจึงให้ความรู้กับเกษตรกร แนะนำให้ซื้อแม่ปุ๋ยคือปุ๋ยยูเรีย ฟอสฟอรัส และโพแทสซียม มาผสมใช้เอง นอกจากจะมีต้นทุนที่ถูกแล้ว ยังผสมปุ๋ยได้สัดส่วนและเหมาะสมกับสภาพดิน

           สูตรปุ๋ยที่ทีมงานข้าวยั่งยืนแนะนำให้ใช้คือ ปุ๋ยยูเรีย 2 กระสอบ ปุ๋ยโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส อย่างละ 1 กระสอบต่อข้าว 10 ไร่ โดยเฉพาะปุ๋ยยูเรียทีมงานข้าวยั่งยืนแนะนำว่า ไม่ควรใช้เยอะเกินไป ข้าวก็เหมือนกับคน กินอิ่มแล้วก็พอ ถึงแม้จะใช้เยอะก็ไม่ใช่ว่าผลผลิตจะดี นอกจากจะเกิดต้นทุนโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังทำให้ข้าวตายหรือเกิดโรค เกิดเชื้อราได้อีกด้วย ในขณะที่โพแทสเซียมและฟอสฟอรัส ละลายช้ากว่าปุ๋ยยูเรีย ไม่ต้องใส่เยอะก็ได้

           ทีมงานโครงการข้าวยั่งยืน ลงพื้นที่จริง จึงรับรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงของเกษตรกร และลงไปแก้ปัญหาถึงในพื้นที่ มีปัจจัยการผลิตเช่น เครื่องหยอดข้าว ส่งเสริมให้เกษตรกรทำนาหยอด ซึ่งได้ผลผลิตที่ดีกว่านาหว่าน และไม่ใช้แรงงานเยอะเหมือนนาดำ โครงการข้าวยั่งยืนจึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับภาคเกษตรกรรมของไทย


 

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2564

ยืนหยัดอย่างยั่งยืน

 ยืนหยัดอย่างยั่งยืน 

        หลายวันมานี้ทีมงานข้าวยั่งยืนลงพื้นที่ให้ความรู้กับเกษตรกร ในหลายหมู่บ้านในอำเภอตระการพืชผล การลงพื้นที่ในครั้งนี้ผมรู้สึกขอบคุณทีมงามข้าวยั่งยืนที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง เพื่อคนในพื้นที่และแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรอย่างแท้จริง  ทำให้ผมได้รับความรู้จากคุณพ่อมนตรี พรหมลักษณ์ ในฐานะหัวหน้าโครงการและวิทยากรด้วย จากการลงพื้นที่ทำให้ผมรับรู้ถึงปัญหาว่า เกษตรกรหลายคนใช้ปุ๋ยตามอำเภอใจ หรือเลือกปุ๋ยตามคำแนะนำจากร้านค้า โดยขาดความรู้ที่แท้จริง คุณพ่อมนตรีจึงรวบรวมความรู้และประสบการณ์กว่า 40 ปี เขียนเป็นคู่มือถึงวิธีการปลูกข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน  

        

      ส่วนหนึ่งของการบรรยายคุณมนตรีเล่าว่า เกษตรกรไม่ได้ใช้ปุ๋ยตามค่าการวิเคราะห์ดิน หรือเลือกใช้ปุ๋ยที่มีราคาถูกมากกว่าปุ๋ยที่เหมาะกับต้นข้าว ซึ่งเป็นการใช้ปุ๋ยอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ผลผลิตลดลง ต้นทุนสูงขึ้น ดังนั้น เกษตรกรจึงต้องมีความรู้เรื่องปุ๋ยและความแตกต่างของปุ๋ยแต่ละชนิด ยกตัวอย่างเช่น ปุ๋ยยูเรียช่วยบำรุงใบ ฟอสฟอรัสช่วยในการแตกกอ โพแทสเซียมบำรงรวงข้าว แต่ฟอสฟอรัสกับโพแทสเซียมเป็นปุ๋ยที่ละลายช้า ดังนั้นไม่ต้องใส่เยอะ หากเกษตรกรมีความรู้เช่นนี้ก็ใช้ปุ๋ยอย่างพอเหมาะ ลดต้นทุนในการทำนาได้

        โดยสัดส่วนที่เหมาะสมก็คือยูเรีย 20 กก. ต่อฟอสฟอรัส 5 กก. ต่อโพแทสเซียม 5 กก. ใส่หลังนาดำประมาณ 10 วันหรือนาหว่าน 1 เดือน แต่ถ้าเป็นช่วงฝนไม่ดี ต้องทะยอยใส่ปุ๋ยละน้อย สำหรับช่วงที่ข้าวกำลังตั้งท้องใช้ยูเรีย 5 กก.ต่อไร่ก็พอ ถ้าใช้เยอะกว่านั้นจะทำให้ข้าวเกิดเชื้อราหรือตายได้ สำหรับพื้นที่ในภาคอีสานนั้นส่วนใหญ่เป็นนาดินทราย การใช้ปุ๋ยสูตร 16-20-0 หรือ 15-15-15 ไม่เหมาะกับนาดินทราย ดังนั้นเกษตรกรจึงต้องเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะกับสภาพดิน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี คุ้มค่ากับการลงทุน

          

       โครงการข้าวยั่งยืนต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง ในขณะที่ข้าวต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก ข้าวไทยกำลังได้รับความนิยมลดลงเนื่องจากมีราคาสูง ในขณะที่ข้าวจากประเทศคู่แข่ง มีคุณภาพใกล้เคียงข้าวไทยแต่ราคาถูกกว่า เกษตรกรจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีทำนา โดยลดต้นทุน หนึ่งในเคล็ดลับที่คุณพ่อมนตรีบรรยายคือลดการใช้ยาฆ่าหญ้า เพราะนอกจากทำลายสิ่งแวดล้อมแล้ว ทำให้กบเขียดในท้องนาล้มตาย ยังเป็นต้นทุนให้กับเกษตรกรด้วย คุณพ่อมนตรีจึงให้เกษตรกรตัดต้นข้าวพร้อมกับต้นหญ้าในช่วง 1 เดือนก่อนข้าวตั้งท้อง จะสามารถกำจัดวัชพืชได้โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าหญ้า

          

         โครงการข้าวยั่งยืน ส่งเสริมให้เกษตรกรลดการใช้ยาฆ่าหญ้า ทำพันธุ์ข้าวเอง ใช้ปุ๋ยอย่างถูกวิธี ประหยัดต้นทุน จึงจะสามารถทำให้ข้าวไทยยืนหยัดในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน




 

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2564

กบคืนนา ปลาคืนทุ่ง ข้าวยั่งยืน

 กบคืนนา ปลาคืนทุ่ง ข้าวยั่งยืน 

        ผมลงพื้นที่กับทีมงานข้าวยั่งยืน มีคุณพ่อมนตรี พรหมลักษณ์ เป็นหัวหน้าและเป็นวิทยากรในการลงพื้นที่ด้วย ส่วนหนึ่งของการบรรยายคุณพ่อมนตรีเล่าให้ฟังว่า ข้าวไทยในปัจจุบันเผชิญการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะจากอินเดียและเวียดนาม แม้ว่าข้าวไทยจะมีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่ง แต่หากราคาสูงกว่าคู่แข่งมากข้าวไทยก็จะสูญเสียตลาดในต่างประเทศ ในขณะที่ชาวนามีต้นทุนสูง เนื่องจากราคาปุ๋ยปรับตัวสูงขึ้นมาก ดังนั้นคุณพ่อมนตรี จึงอบรมให้ความรู้เรื่องการใช้ปุ๋ยแก่เกษตรกร เพื่อช่วยเกษตรกรลดต้นทุน 

        ข้าวมีความจำเป็นต้องการปุ๋ยยูเรีย แต่หากใส่ปุ๋ยยูเรียเยอะเกินไป จะทำให้ข้าวเป็นโรค ข้าวล้ม หรือข้าวตาย นอกจากจะทำให้ผลผลิตเสียหายแล้ว เกษตรกรยังแบกรับต้นทุนสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นเกษตรกรต้องใช้ปุ๋ยให้เหมาะสม คุณพ่อมนตรีบอกอีกว่า สำหรับพื้นที่นาในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นนาดินทราย สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมคือ 16-16-8 ในขณะที่เกษตรกรจำนวนมากเคยชินกับการใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ซึ่งไม่เหมาะกับการปลูกข้าว แต่เหมาะกับการปลูกมันสำปะหลัง นอกจากจะไม่ได้ผลผลิตตามที่คาดไว้แล้ว ยังมีต้นทุนที่สูงโดยไม่จำเป็นอีกด้วย 

         ดังนั้นข้าว 1 ไร่ ควรใช้ปุ๋ยยูเรียไม่เกิน 10 กก. ปุ๋ยโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส ไม่เกิน 5 กก. เกษตรกรควรซื้อปุ๋ยยูเรีย 2 กระสอบ และปุ๋ยโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส อย่างละ 1 กระสอบ ต่อข้าว 10 ไร่ จะเป็นการใช้ปุ๋ยเหมาะกับค่าการวิเคราะห์ดิน ได้ผลผลิตดีและประหยัดต้นทุนได้ดีอีกด้วย 

         เมล็ดพันธุ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาของเกษตรกร นอกจากจะเป็นต้นทุนแล้วยังไม่เพียงพอต่อความต้องการอีกด้วย คุณพ่อมนตรีจึงโน้มน้าวให้เกษตรกร ทำเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง โดยกันพื้นที่ไว้ส่วนหนึ่งเพื่อทำเมล็ดพันธุ์โดยเฉพาะ เพาะปลูกให้พิถีพิถัน เกี่ยวมือ คัดเลือกพันธุ์ปลอมปนออก เช่นนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ทุกปี

       

         นอกจากการใช้ปุ๋ยอย่างถูกวิธีแล้ว การตัดหญ้าก่อนข้าวตั้งท้อง 1 เดือนและใส่ปุ๋ยเพื่อให้ข้าวแตกกอใหม่ ก็เป็นอีกเทคนิคที่ช่วยประหยัดยาฆ่าหญ้าได้อีกด้วย นอกจากจะประหยัดต้นทุนแล้ว ยังสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศ ลดโลกร้อน คืนสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับท้องนา ดั่งคำว่ากบคืนนาปลาคืนทุ่ง 

 

          

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2564

สมาชิกใหม่โครงการข้าวยั่งยืน

 สมาชิกใหม่โครงการข้าวยั่งยืน 

         ผมได้มีโอกาสลงพื้นที่พร้อมกับทีมงานข้าวยั่งยืน เพื่อขึ้นทะเบียนสมาชิกใหม่ให้กับเกษตรกรในอำเภอเหล่าเสือโก้ก เกษตรกรในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำของโรงสีข้าวกิจอุดมอยู่แล้ว แต่เพิ่งจะได้สมัครเป็นสมาชิกของโครงการข้าวยั่งยืน ยังมีงานเอกสาร บัตรสมาชิก เงื่อนไขการได้รับเงินปันผล และข้อมูลองค์ความรู้ต่างๆ ที่ยังถือเป็นสิ่งใหม่สำหรับเกษตรกร ต้องขอขอบคุณทีมงานข้าวยั่งยืนที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง เพื่อเกษตรกรในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง นับได้ว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก


         ผมได้ร่วมฟังบรรยายจากคุณพ่อมนตรี พรหมลักษณ์ เรื่องการใช้ปุ๋ย พบว่าเกษตรกรหลายคนยังคงใช้ปุ๋ยด้วยความเชื่อที่ผิดๆ ยิ่งใส่ปุ๋ยยิ่งมากยิ่งดี และยังใช้ปุ๋ยไม่ถูกวิธี ไม่เหมาะกับดิน นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังสิ้นเปลืองเงินทอง ต้นทุนสูง และยังทำให้ต้นข้าวได้รับความเสียหาย ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อมนตรีเล่าว่า ปุ๋ยยูเรียแม้มีประโยชน์มาก แต่หากใช้ไม่ถูกต้อง ใช้เยอะเกินไป เกิน 10 กก.ต่อไร่ จะทำให้ข้าวตายหรือเกิดเชื้อราขึ้นได้ 

        

         ต้นข้าวก็เหมือนกับคน กินอิ่มก็พอ การใช้ปุ๋ยมากเกินไป ต้นข้าวก็ดูดซึมไม่หมด เป็นความสิ้นเปลือง เพิ่มต้นทุนให้กับเกษตรกร เกษตรกรบางคนปลูกข้าวกข 15 และ ข้าวหอมมะลิ 105 ซึ่งข้าวกข 15 จะเก็บเกี่ยวก่อน ข้าวหอมมะลิ 105 ดังนั้นปุ๋ยยูเรียควรใส่ข้าวกข 15 ก่อน และทิ้งช่วงประมาณ 1-2 สัปดาห์จึงใส่ปุ๋ยให้ข้าวหอมมะลิ 105 ไม่ใช่ใส่ปุ๋ยพร้อมกัน หากใส่ปุ๋ยโดยไม่คำนึงถึงเวลา และดินฟ้าอากาศ แทนที่จะเกิดประโยชน์ แต่กลับเกิดโทษทำให้ต้นข้าวเสียหาย 


           

         หลังจากเสร็จสิ้นการบรรยาย ผมจึงถือโอกาสเยี่ยมแปลงนาของแม่แขกด้วย แม่แขกเป็นลูกค้าประจำของโรงสีข้าวกิจอุดม ให้ความไว้วางใจเรามาโดยตลอด ข้าวของแม่แขกมีคุณภาพ เมล็ดสวย วันนี้มาเห็นด้วยตา จึงรู้ว่าเพราะการเอาใจใส่ของแม่แขก จึงทำให้ได้ข้าวคุณภาพ แม่แขกปลูกข้าวพร้อมกับถั่วเขียวพร้อมกัน จึงทำให้ดินได้รับสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ต้นข้าวจึงเติบโตงอกงามได้ดี

 

            

          ทีมงานข้าวยั่งยืนที่ลงพื้นที่จริง เพื่อแก้ปัญหาให้ความรู้กับเกษตรกรในพื้นที่อย่างจริงจัง มีคุณพ่อมนตรี พรหมลักษณ์ เป็นหัวหน้า ผู้ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ พร้อมจะถ่ายทอดให้กับเกษตรกร ด้วยความจริงใจของทีมงานข้าวยั่งยืน จึงได้รับความไว้วางใจจากเกษตรกรในพื้นที่ โรงสีข้าวกิจอุดมขอเป็นกำลังใจและสนับสนุนทีมงานข้าวยั่งยืนด้วยใจจริง ไหมเส้นเดียวไม่เป็นด้าย ต้นไม้ต้นเดียวไม่เป็นป่า การแก้ปัญหาเกษตรกรรมต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคน