KIT UDOM RICE

Premium Quality Rice from Ubon Ratchathani, Thailand.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

Premium Grade Hom Mali Rice

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ต่างประเทศ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ต่างประเทศ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564

หูเย่าปังกับวิกฤติเทียนอันเหมิน

 หูเย่าปังกับวิกฤติเทียนอันเหมิน

         หูเย่าปัง เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนระหว่างปี 1980-1987 แต่ดูเหมือนว่าตลอดการดำรงตำแหน่งในฐานะเลขาธิการพรรคของหูเย่าปังนั้นจะไม่ราบรื่นนัก โดยเฉพาะความขัดแย้งกับเติ้งเสี่ยวผิง ที่นับวันจะขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวมาจากประเด็นเรื่องหลักการเสรีนิยม เติ้งเสี่ยวผิงยึดมั่นในหลักการ 4 ประการ (The Four Cardinal Principles) ประกอบด้วย     

  • เดินตามแนวทางสังคมนิยม (the socialist path) 
  • เผด็จการโดยประชาชน (the people's democratic dictatorship) 
  • มีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้นำ (the leadership of the Communist Party) 
  • เดินตามแนวคิดมาร์กซ์ เลนิน และเหมาเจ๋อตุง (Marxist-Leninist-Mao Ze-dong thought) 

 
        ในช่วงทศวรรษ 1980 กระแสแห่งประชาธิปไตยเบ่งบานแนวคิดเสรีนิยมก็เบ่งบานในจีนเช่นกัน เติ้งเสี่ยวผิงมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง จึงนำมาสู่นโยบายการต่อต้านแนวคิดมลภาวะ (Anti-Spiritual Pollution Campaign) นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งทางความคิดระหว่างหูเย่าปังและเติ้งเสี่ยวผิง ในขณะที่ต่างประเทศมีความกังวลต่อจีนเกี่ยวกันนโยบายดังกล่าว เจ้าจื่อหยาง เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่ออธิบายนโยบายดังกล่าวว่า จะไม่ถูกนำมาใช้ในด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรรม และวิถีชีวิต จึงคลายความกังวลในสายตาของต่างประเทศได้บ้าง 

          ในขณะที่หูเย่าปังมีความกังวลว่านโยบายดังกล่าวจะสร้างความไม่พอใจในหมู่ปัญญาชนและต่างประเทศ และกล่าวกับตัวแทนจากญี่ปุ่นว่านโยบายดังกล่าวไม่ความเหมาะสม นอกจากนั้นหูเย่าปังยังไม่ดำเนินมาตรการอย่างเด็ดขาดกับหวังรั่วสุย (Wang Ruoshui) กัวหลัวจี้ (Guo Luoji) นักวิชาการเสรีนิยม และ หูจี๋เว่ย (Hu Jiwei) บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ People's Daily ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับเติ้งเสี่ยวผิงเป็นอันมาก เพราะเติ้งเสี่ยวผิงมองว่า กระแสเสรีนิยมเริ่มรุนแรงขึ้นในจีนเพราะความอ่อนแอของหูเย่าปัง ความไม่พอใจของเติ้งเสี่ยงผิงเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหูเย่าปังให้สัมภาษณ์กับลู่เคิง บรรณาธิการนิตยสารไป๋ซิ่ง (Ordinary People) ซึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคคอมมิวนิสต์ หนึ่งในบทสัมภาษณ์ลู่เคิงถามหูเย่าปังว่า ทำไมไม่คุมอำนาจกองทัพแทนเติ้งเสี่ยวผิง หูเย่าปังตอบปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าเพียงแค่งานด้านเศรษฐกิจก็ยุ่งมากพอแล้ว  นอกจากนั้นบางช่วงบางตอนลู่เคิงเองก็วิพากษ์วิจารณ์ผู้ใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์หลายคน เช่น เฉินหยุน และ หวังเจิ้น แต่การสัมภาษณ์ในครั้งนั้นกับสร้างความหวาดระแวงของเติ้งเสี่ยวผิงที่มีในตัวหูเย่าปังเพิ่มมากขึ้น 


         และฟางเส้นสุดท้ายก็คือเหตุการณ์ประท้วงของนักศึกษาในเดือนตุลาคม 1986 ซึ่งเติ้งเสี่ยวผิงมองว่าเป็นความผิดของหูเย่าปังที่ไม่ขจัดขัดขว้างขบวนการเสรีนิยมตั้งแต่ต้น หูเย่าปังยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในวันที่ 4 มกราคม 1987 จากนั้นจึงมีการตั้งกรรมการสอบความผิดของหูเย่าปัง โดยหนึ่งในผู้กล่าวโทษหูเย่าปังก็คือ หยูชิวหลี่ หนึ่งในผู้ใกล้ชิดหูเย่าปัง ซึ่งสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุใดคนที่ทำงานใกล้ชิดหูเย่าปัง กลับกล่าวโทษหูเย่าปังอย่างรุนแรง เป็นที่คาดการณ์กันว่า หยูชิวหลี่ คงอยากสลัดภาพผู้ใกล้ชิดออกไป ไม่อยากรับเคราะห์ตามหูเย่าปังไปด้วย 

          วันที่ 15 เมษายน 1989 หูเย่าปังถึงแก่อนิจกรรม นักศึกษานับพันร่วมชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่การจากไปของหูเย่าปัง แต่การชุมนุมยืดเยื้อบานปลายจนกลายเป็นการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมือง แก้ปัญหาการทุจริต เรียกร้องประชาธิปไตย และมีบางส่วนที่หัวรุนแรงต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ เจ้าจื่อหยางขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ดำเนินการให้มีการประนีประนอมจากหลายฝ่าย แต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์การนองเลือดก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์จีน 

สนับสนุนบทความโดยข้าวหอมมะลิตรามงกุฎคู่ 

สามารสั่งทาง shopee ได้แล้ววันนี้
ข้าวหอมมะลิ 5 กก.
ข้ามหอมมะลิ 1 กก.
ข้าวกล้อง 1 กก.
ข้าวไรซ์เบอร์รี่

Reference 

Pu, B., Chiang, R., and Ignatius, A. (2009). Prisoner of the State the Secret Journal of Premier Zhao Ziyang. Simon & Schuster;New York 


    

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564

ก้าวแรกของการเปิดประเทศของจีน

 ก้าวแรกของการเปิดประเทศของจีน 

         ผลพวงจากการใช้นโยบายพึ่งพาตนเอง (Self-reliance) และปิดประเทศ (the Closed-door policy)ของจีน ในสมัยของเหมาเจ๋อตง ทำให้จีนประสบปัญหาในหลายๆอย่าง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือด้านเกษตรกรรม ในขณะที่จีนทุ่มเทงบประมาณด้านชลประทานมากมายแต่กลับได้ผลผลิตน้อยนิด ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เจ้าจื่อหยางตระหนักเป็นอย่างดีว่าสาเหตุเกิดจากการปลูกพืชที่ไม่เหมาะกับสภาพภูมิประเทศ หากปลูกพืชที่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ และส่งออกไปขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ จะเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณและนำไปใช้กับสิ่งที่เกิดประโยชน์มากขึ้น  

                                          Photo by Zetong Li on Unsplash

        ปี 1979 เจ้าจื่อหยางเดินทางไปดูงานในต่างประเทศ พบว่าทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีสภาพภูมิอากาศแห้งและไม่มีฝนในช่วงหน้าร้อน แทนที่ฝรั่งเศสจะลงทุนสร้างระบบชลประทานขนาดใหญ่ แต่กลับเลือกจะปลูกองุ่นที่เหมาะกับสภาพอากาศ ซึ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับเกษตรกร ในอังกฤษก็เช่นกันฝั่งตะวันออก ได้รับแสงแดดที่เพียงพอ เหมาะกับการปลูกข้าวสาลี ในขณะที่ฝั่งตะวันตกได้รับแสงแดดน้อยกว่า จึงเลือกที่จะปลูกหญ้า และฝั่งตะวันตกจึงกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ การปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนม อีกประเทศคือกรีซ ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งและไม่มีฝน คล้ายกับสภาพอากาศในส่านซีของจีน แต่สำหรับจีนแล้วลงทุนเพื่อพัฒนาชลประทานมากมายเพื่อปลูกข้าว แต่กลับได้ผลผลิตที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน และเกษตรกรก็ยังประสบปัญหาอดอยากอีกด้วย แต่กรีซกลับปลูกต้นมะกอกและพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันมะกอก ซึ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับเกษตรกรในพื้นที่ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแม้ว่าเกษตรกรในกรีซจะไม่ได้ปลูกข้าว แต่ปลูกมะกอกก็มีเงินซื้อข้าวได้เช่นกัน กรีซประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ เพราะนโยบายการเปิดประเทศ

                                         Photo by Kirill Sharkovski on Unsplash 


          เจ้าจื่อหยางพบว่าในจีนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในเหอหนานสภาพภูมิประเทศเป็นดินทราย เหมาะกับการปลูกถั่วลิสง แต่ด้วยนโยบายปิดประเทศเกษตรกรไม่มีทางเลือกนอกจากปลูกข้าวโพด เพื่อให้มีอาหารที่เพียงพอกับการบริโภคในประเทศ แต่ผลกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะสภาพภูมิประเทศที่ไม่เหมาะกับการปลูกข้าวโพด ผลผลิตจึงต่ำ เกษตรกรประสบความยากลำบากยิ่ง ในซานตงก็ประสบปัญหาเช่นกัน เนื่องจากซานตงมีปัญหาดินเค็ม เหมาะกับการปลูกฝ้าย แต่เนื่องจากนโยบายปิดประเทศ หากปลูกฝ้ายประชาชนในพื้นที่จะมีอาหารที่ไม่เพียงพอต่อการบริโภค เกษตรกรจึงไม่มีทางเลือกต้องปลูกข้าวสาลี แต่เนื่องจากข้าวสาลีไม่เหมาะกับการปลูกในดินเค็ม ผลผลิตจึงตกต่ำ ประชาชนในพื้นที่ก็ยังต้องประสบกับความอดอยากเช่นเดิม 

        

           ในปี 1983 เจ้าจื่อหยางตัดสินใจปลูกฝ้ายในพื้นที่ซานตง ผลพลอยได้ที่ได้จากการผลิตฝ้ายก็คือเมล็ดฝ้าย เมื่อนำไปสกัด จะได้น้ำมัน ซึ่งน้ำมันจากเมล็ดฝ้ายสามารถใช้เป็นปุ๋ย ลดความเค็มของดินได้ด้วย เมื่อมีฝ้ายมากขึ้นจีนก็ส่งออกฝ้าย และนำเงินจากการขายฝ้ายนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศแทน การเปิดประเทศช่วยให้เกษตรกรของจีนมีรายได้มากขึ้น และไม่ต้องปลูกพืชที่ไม่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ แต่ปลูกพืชที่สามารถสร้างรายได้ที่สูงกว่า และนำเข้าในสิ่งที่ต้องการ แนวคิดดังกล่าวดูนำไปใช้ในอุตสากรรมเหล็กด้วย แทนที่จะถลุงเหล็กเอง ก็นำเข้าแร่เหล็กที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ เพื่อป้อนโรงงานรีดเหล็กและเหล็กเส้นในประเทศ

Reference 

Pu, B., Chiang, R., and Ignatius, A. (2009). Prisoner of the State the Secret Journal of Premier Zhao Ziyang. Simon & Schuster;New York