KIT UDOM RICE

Premium Quality Rice from Ubon Ratchathani, Thailand.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

Premium Grade Hom Mali Rice

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

แนวทางการพัฒนาชนบทแบบ Rurbanomics

แนวทางการพัฒนาชนบทแบบ Rurbanomics
      
           Rurbanomics คือการเชื่อมโยงสังคมชนบทกับสังคมเมืองด้วยเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดจากคำว่า Rural (ชนบท) Urban (ในเมือง) และ Economics (เศรษฐศาสตร์) ในยุคปัจจุบันพบว่าประชากรในสังคมเมืองมีความต้องการบริโภคอาหารปลอดภัยมากขึ้น ห่วงโซ่อุปทานอาหารมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น หรือที่ Rob Vos และ Andrea Cattaneo เรียกว่า Quiet Revolution หรือการปฏิวัติเงียบ จึงเป็นโอกาสสำหรับสังคมชนบทที่อยู่บนพื้นฐานของเกษตรกรรมได้รับประโยชน์จากสังคมเมืองมากขึ้น แต่สังคมชนบทยังต้องพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีเครื่องจักรสมัยใหม่เข้ามาช่วย จึงจะสามารถเข้าถึงตลาดได้ เพื่อไม่ให้ประชากรในชนบทถูกทิ้งไว้ข้างหลัง Rob Vos และ Andrea Cattaneo จึงเสนอแนวทางในการพัฒนาชนบท ตามแนว Rurbanomics 4 แนวทาง คือ การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน การส่งเสริมธุรกิจการเกษตร การพัฒนาเทคโนโลยี และ เสริมศักยภาพของชาวนาและการจัดการความเสี่ยง



           1. การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน จากข้อมูล IFPRI ระบุว่า 84% ของเกษตรกรรายย่อย ถือครองที่ดินน้อยกว่า 12 ไร่ และหลายประเทศในแอฟริกาและเอเชียใต้ ขนาดการถือครองที่ดินยังมีแนวโน้มลดลงด้วย จึงเป็นกับดักรายได้และเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มผลผลิตและการพัฒนา Rob Vos และ Andrea Cattaneo เสนอให้ขยายการถือครองที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เพื่อที่เกษตรกรจะได้ประโยชน์จากขนาด หรือ Economies of Scale ซึ่งการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน อาจจะให้สิทธิในการถือครอง หรือการให้เช่าก็ได้ เช่น ในบังกลาเทศ 40%ของการถือครองเกิดจากการเช่าที่ดินทำกิน หรือการใช้ที่ดินภายใต้การบริหารจัดการ นอกจากนั้นภาครัฐยังต้องสนับสนุนด้านเครื่องจักรที่ทันสมัยแก่เกษตรกร ซึ่งอาจจะให้เกษตรกรเช่า หรือการใช้ร่วมกัน เช่น ในเอเชียตะวันออกส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันและใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกัน

        
          2. ส่งเสริมธุรกิจการเกษตร ตามแนวคิดของ Rob Vos และ Andrea Cattaneo คือให้ภาคธุรกิจร่วมกับภาคเกษตรกรรมทำพันธะสัญญาร่วมกันเป็นการตลาดแบบองค์รวม (Collective Marketing) เนื่องจากการทำเกษตรของเกษตรกรรายย่อย ประสบปัญหาหลายอย่าง ขาดแคลนเงินทุน ปัจจัยการผลิต และผลิตสินค้าไม่ได้คุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด จึงทำให้ขายสินค้าในราคาต่ำ ดังนั้นเกษตรกรรายย่อยจึงต้องรวมกลุ่มกันในการผลิต และขายให้กับธุรกิจที่ทำพันธะสัญญาด้วย ในขณะที่ภาคธุรกิจสนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น เงินทุน โดยใช้ผลผลิตเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ลงทุนคลังสินค้า และเครื่องจักรให้กับเกษตรกร ในขณะที่เกษตรกรต้องผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่ตลาดต้องการ
              
          การทำการตลาดแบบองค์รวมนั้นเกษตรกรต้องรวมกลุ่มกัน เพื่อผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน และต้องให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ผู้ซื้อต้องการ ซึ่งหากทำได้จริงการรวมกลุ่มกันและสินค้ามีคุณภาพ จะทำให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้นได้ รวมทั้งอาจจะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ด้วย เพราะสามารถใช้ปัจจัยการผลิต เช่น รถแทรกเตอร์ หรือยานพาหนะ ร่วมกันได้



        แม้ว่าการตลาดองค์รวมจะเป็นทางออกสำหรับเกษตรกรรายย่อยก็จริง แต่การปฏิบัติยังประสบปัญหาอีกมากเช่น ขาดความโปร่งใส ตัวแทนกลุ่มอาจจะเจรจาราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรือกลุ่มเกษตรกรที่ขาดผู้นำที่จะสามารถโน้มน้าวสมาชิกให้มีความเข้มแข็ง หรือขาดความเป็นเอกภาพภายในกลุ่ม เช่น เกษตรกรบางรายอาจคิดว่าสินค้าของตนเองดีกว่าของสมาชิกอื่น ควรที่จะได้รับราคาสูงกว่าสมาชิกคนอื่นเป็นต้น ดังนั้นเกษตรกรควรได้รับการศึกษาและการอบรมเพื่อสร้างความเข้าใจในการทำงาน และเข้าใจกลไกตลาด จึงทำให้การตลาดแบบองค์รวมประสบความสำเร็จ


References

Robbins, P., Bikande, F., Ferris, S., Kleih, U., Okoboi, G. and Wandschneider, T. (2004) Manual for Collective Marketing for Smallholder farmers. Retrieved from http://www.fao.org/sd/erp/toolkit/BOOKS/manual4_collectivemarketing.pdf July, 25 2020

Sarkar, Sayantan & Mishra, Dheeraj & Ghadei, Kalyan. (2014). Collective Marketing – A Hope for the Farmers. Indian Journal of Crop Ecology. 2. 21-26

Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พัฒนาชนบทอย่างไรให้เข้มแข็ง (2)

พัฒนาชนบทอย่างไรให้เข้มแข็ง (2)

         อุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่ในไนจีเรีย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จในการเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสังคมเมืองไปสู่สังคมชนบท ซึ่งสามารถเพิ่มรายได้และการจ้างงานในชนบทได้ ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจและสังคมเมืองของไนจีเรียมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ดังนั้นอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่จึงได้รับอานิสงส์ไปด้วย อุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่นี้สร้างงานให้กับเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 8 ล้านคน และตำแหน่งงานอีกกว่าหมื่นตำแหน่งในธุรกิจการค้า โรงสี โลจิสติกส์ การขนส่ง และคลังสินค้า

        
           ไม่น่าเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของการบริโภคเนื้อไก่ตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมานี้ นำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารไก่ที่เติบโตขึ้นกว่า 6 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับทุกผู้คนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมนี้ SME สามารถเติบโตต่อไปได้ เกษตรกรรายย่อยมีกำไรจากการปลูกข้าวโพดทั้งในพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคใต้ และยังต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมประมง โดยการปลูกข้าวโพดเพื่อเลี้ยงปลาอีกด้วย ดังนั้นการพัฒนาชนบทให้เข้มแข็ง หัวใจจึงอยู่ที่การสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตร และเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสังคมเมืองกับการผลิตในสังคมชนบท เพื่อที่ประชากรในชนบทจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของสังคมเมืองด้วย ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างงานสร้างรายได้เท่านั้น แต่ยังสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้อีกด้วย


        การเชื่อมโยงตลาดดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ภาคชนบทยังต้องอาศัยการพัฒนาอีกมากเช่นกัน โดยเฉพาะมาตรฐานอาหารปลอดภัย และการศึกษา กล่าวคือการจะยกระดับการผลิตให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นได้นั้น ต้องมีมาตรฐานสากล มีการรับรองระบบมาตรฐาน ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม จึงจะสามารถเพิ่มตลาดใหม่ๆ เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร  โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้บริโภค ใส่ใจเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยมากขึ้น เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพื่อพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค แต่การทำมาตรฐานต้องมีการลงทุนและค่าใช้จ่าย รัฐบาลควรให้การสนับสนุนในส่วนนี้เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยและ SME 
  
        นอกจากนั้น Rob Vos และ Andrea Cattaneo ยังเสนออีกว่าลดภาษีนำเข้า เนื่องจากปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร เช่น ปุ๋ย และเครื่องมือทางการเกษตร ส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้า หากลดภาษีนำเข้าได้ จะเป็นการลดต้นทุนให้กับเกษตรกรรายย่อยได้อีกทางหนึ่ง


        เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจประชากรในชนบทต้องได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพ เช่น การทำธุรกิจ และเทคโนโลยี ซึ่งการได้รับการศึกษาจะช่วยให้พัฒนาฝีมือแรงงานและประกอบอาชีพได้หลากหลาย และยกระดับค่าครองชีพอีกด้วย รัฐบาลจึงควรส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาทั้งระดับอาชีวะและการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งการอบรมแก่คนทำงาน เพื่อให้มีความรู้สำหรับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ครอบคลุมทั้งความรู้ด้านดิจิตอล กระบวนการผลิต มาตรฐานสากล เทคโนโลยี และการทำธุรกิจ

References 

Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020
  





วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พัฒนาชนบทอย่างไรให้เข้มแข็ง (1)

พัฒนาชนบทอย่างไรให้เข้มแข็ง (1)

           Rob Vos และ Andrea Cattaneo เสนอแนวทางในการพัฒนาชนบทให้เข้มแข็ง และได้ประโยชน์จากการเติบโตของสังคมเมือง 3 แนวทาง คือการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐาน การปรับปรุงกฎระเบียบด้านการค้า และอบรมพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

          ลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งมีความจำเป็นยิ่งในการทำให้ความเชื่อมโยงระหว่างสังคมชนบทและสังคมเมืองเข้มแข็งขึ้น การก่อสร้างถนน ไฟฟ้า คลังสินค้า ล้วนแต่ทำให้คุณภาพชีวิตของชาวชนบทดีขึ้น นอกจากนั้นการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปรับปรุงปัจจัยการผลิต ก็เป็นส่วนเสริมทำให้ชาวชนบทมีรายได้ที่สูงขึ้น และลดความผันผวนอันเกิดจากราคาตลาด หรือภัยธรรมชาติได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานมันฝรั่งในอินเดีย มีการสร้างห้องเย็นเพื่อเก็บรักษามันฝรั่งให้กับชาวสวน

   
        ซึ่งมีเกษตรกรให้ความสนใจเป็นอันมาก จากเดิมมีเกษตรกรใช้ห้องเย็นแค่ 40% ของเกษตรทั้งหมดในปี 2000 แต่ปัจจุบัน มีเกษตรกรใช้ถึง 95% แล้ว ห้องเย็นไม่เพียงลดความเสียหายของมันฝรั่งเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอำนาจต่อรองให้กับเกษตรกรด้วย เดิมทีมันฝรั่งสามารถเก็บได้เพียง 3 เดือน แต่ห้องเย็นสามารถยืดอายุของมันฝรั่งได้นาน 7 เดือน ช่วงที่มันฝรั่งออกมาเยอะ ราคาตก เกษตรก็สามารถเก็บมันฝรั่งไว้ในห้องเย็นเพื่อชะลอการขาย นอกจากนั้นมันฝรั่งที่เก็บในห้องเย็นยังสามารถเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้อีกด้วย
 
     
       ห้องเย็นยังช่วยทำให้การเชื่อมโยงตลาดระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบทให้ดีมากขึ้นอีกด้วย ผู้บริโภคเห็นว่าการเก็บมันฝรั่งในห้องเย็น ทำให้เก็บรักษาคุณภาพมันฝรั่งไว้ได้ ไม่เน่าเสีย จึงมีความต้องการมันฝรั่งจากห้องเย็นมากขึ้น และยินดีซื้อในราคาที่สูงขึ้น ในขณะที่ผู้ผลิตเองก็สามารถชะลอการขาย ในช่วงราคามันฝรั่งตกต่ำได้อีกด้วย นับเป็นการยกระดับรายได้ของเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง

    
       นอกจากอินเดียแล้ว บราซิลเองก็เช่นกัน มีการลงทุนก่อสร้างถนนและการขนส่ง ทำให้ลดเวลาในการขนส่งสินค้า และลดต้นทุนของเกษตรกร ทำให้เข้าถึงตลาดในสังคมเมืองได้มากขึ้น ในยุโรปมีการลงทุนสร้างโรงฆ่าสัตว์ชุมชน ระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุน หรือในตอนใต้ของชิลีที่มีการปรับปรุงถนนและการขนส่ง ทำให้เกษตรกรเข้าถึงตลาดได้ง่ายขึ้น จึงนำไปสู่การลงทุนใหม่ๆ เช่น การเลี้ยงปลาแซลมอน ซึ่งเป็นการเพิ่มการจ้างงานในชนบทโดยเฉพาะแรงงานสตรี  ในนิคารากัว มีการก่อสร้างถนน โรงงานแปรรูปนม และห้องเย็น ซึ่งเป็นเสริมความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพิ่มรายได้และขยายตลาดได้มากขึ้น

      ซึ่งการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐาน เป็นการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก สร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน เพราะเป็นการลดต้นทุน ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของห่วงโซ่อุปทาน และส่งเสริมการจ้างงานอีกด้วย

References 

Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020
  

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

โอกาสทางเศรษฐกิจของชนบท

โอกาสทางเศรษฐกิจของชนบท

          เพื่อให้ประชากรในชนบทได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากสังคมเมือง ชาวชนบทเองก็ต้องปรับวิถีการผลิต ให้สินค้ามีคุณภาพ ปลอดภัย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จึงจะสามารถทำให้การผลิตสินค้าเกษตรในสังคมชนบทเชื่อมโยงกับตลาดของสังคมเมืองได้ หากการเชื่อมโยงสามารถเกิดขึ้นได้ ย่อมจะนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคส่วนอื่นๆ เช่น การขนส่ง การผลิต การค้าส่งและค้าปลีก ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานสร้างรายได้ในชนบท แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่จะเสริมศักยภาพของสังคมชนบทได้ก็คือการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนความเชื่อมโยงการตลาดดังกล่าว เช่น ถนน คลังสินค้า ห้องเย็นเก็บสินค้า ไฟฟ้า ประปา และแหล่งเงินทุน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจในสังคมชนบท

            Rob Vos และ Andrea Cattaneo ระบุถึงโอกาสทางการตลาดในสังคมเมือง ในขณะที่ประชากรมากกว่า 1.5 พันล้านคน กระจายตัวอยู่ในเมืองเล็กๆในประเทศกำลังพัฒนา หลายเมืองมีประชากรไม่ถึง 5 แสนคน แต่นี่เป็นโอกาสสำหรับสินค้าเกษตรในชนบทในการเจาะตลาดกลุ่มนี้ ตลาดภายในมีศักยภาพที่สูงมาก ยกตัวอย่างเช่น หลายประเทศในทวีปแอฟริกามีการส่งออกเพียง 5-10% แต่ขายสินค้าอาหารในประเทศสูงถึง 80% และผู้ขายส่วนใหญ่ก็เป็นรายเล็ก หรือ SME สังคมเมืองขนาดเล็กจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชนบท


         การเติบโตของสินค้าอาหารนี้ จะเป็นขับเคลื่อนให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆกับธุรกิจนอกภาคการเกษตรด้วย

         1. การบริโภคผักและเนื้อสัตว์ จะต้องนำไปสู่การพัฒนาการขนส่งและห้องเย็น เพื่อจัดส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค อย่างรวดเร็วและไม่เน่าเสีย
         2. พฤติกรรมการบริโภคของคนเมืองเปลี่ยนแปลงไป การบริโภคอาหารสำเร็จเสร็จสิ้นด้วยไมโครเวฟ กำลังเป็นที่ต้องการมากขึ้น ย่อมจะนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงการแปรรูปอาหารให้มีความหลากหลายมากขึ้น
         3. เพิ่มโอกาสใหม่ในธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก
         4. นอกจากนั้น พฤติกรรมรับประทานอาหารนอกบ้านของคนเมืองก็เพิ่มขึ้น ธุรกิจร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือฟาสต์ฟูดส์ ก็มีโอกาสเติบโตเช่นกัน


          ทั้งนี้สังคมชนบทก็ต้องเตรียมยกเครื่องขนานใหญ่ เพื่อรองรับตลาดของสังคมเมือง ตั้งแต่เรื่องหีบห่อและบรรจุภัณฑ์ เพื่อป้องกันการเน่าเสียง่าย ห้องเย็นเพื่อเก็บสินค้า การขนส่ง โรงฆ่าสัตว์ต้องได้มาตรฐานและมีความสะอาด การสีข้าวและธัญพืชก็ต้องปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ดังนั้นสังคมชนบทยังต้องการสาธารณูปโภคพื้นฐาน การพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และการพัฒนาอบรมฝีมือแรงงาน

References 


Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

อุตสาหกรรมอาหารบนวิถี Rurbanomics

อุตสาหกรรมอาหารบนวิถี Rurbanomics 
       
      ตั้งแต่ทศวรรษปี 1990 เป็นต้นมาแม้ว่าพัฒนาการอุตสาหกรรมจะเติบโตและก้าวไกลไปมาก แต่จำนวนประชากรที่มีฐานะยากจนกลับเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท นั่นหมายความว่าประชากรในชนบทไม่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของสังคมเมือง หลายคนเพื่อหลีกหนีจากความยากจนผันตัวเป็นแรงงานในสังคมเมือง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รายได้เพิ่มสูงขึ้น ผู้ที่เผชิญกับความยากจนเช่นนี้ โดยมากจะเป็นครัวเรือนขนาดย่อม (Smallholder) ที่ถือครองที่ดินไม่เกิน 2 เฮกเตอร์ (ประมาณ 12 ไร่) ที่อาศัยอยู่ในชนบท ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมากว่า ครัวเรือนขนาดย่อมมีบทบาทอย่างมากในห่วงโซ่อุปทานอาหาร พวกเขาสร้างมูลค่ามากกว่า 36% ของมูลค่าอุตสาหกรรมอาหารของทั้งโลก แต่กลับได้ประโยชน์จากการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมน้อยนัก  

จากรายงานของ The International Food Policy Research Institute หรือ IFPRI ระบุว่าประชากรที่มีฐานะยากจนมีประมาณ 1.5 พันล้านคน กระจายตัวอยู่ในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครัวเรือนขนาดย่อม ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทั้งสิ้น 608 ล้านฟาร์ม ในจำนวนนี้ 510 ล้านฟาร์ม ถือครองที่ดินไม่เกิน 2 เฮกเตอร์ หรือคิดเป็นประมาณ 84% ในจำนวนนี้มี 70% ที่ถือครองที่ดินน้อยกว่า 1 เฮกเตอร์ ครัวเรือนขนาดย่อมที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเหล่านี้คิดเป็นจำนวนถึง 11% ของผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมทั้งโลก 
     
         ครัวเรือนขนาดย่อมส่วนใหญ่ใช้แรงงานจากคนในครอบครัว เพาะปลูกเพื่อการดำรงชีพ จึงแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากอุตสาหกรรมอาหารที่เติบโตขึ้น จึงทำให้ตกอยู่ในความเสี่ยงแห่งความยากจนสูงมาก ประมาณ 20%ของประชากรในภาคการเกษตรมีรายได้เพียง 1.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน 30% มีรายได้เพียง 3.10 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน สาเหตุแห่งความยากจนล้วนเกิดจาก การขาดแคลนที่ดินทำกิน ไม่ได้รับการศึกษา หรือเข้าไม่ถึงการบริการสาธารณะ เช่น แหล่งเงินทุน การตลาด และระบบชลประทาน จึงต้องเผชิญความเสี่ยงอันเนื่องมาจากความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ทำอย่างไรประชากรที่ยากจนในพื้นที่เกษตรกรรมอันห่างไกลจึงจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ? 


       อุตสาหกรรมอาหารเติบโตเป็นอย่างมากในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ประชากรในเมืองเป็นผู้บริโภคในห่วงโซ่อุปทานอาหารถึง 70% นอกจากนั้นการเติบโตของรายได้ในสังคมเมืองยังทำให้พฤติกรรมการบริโภคของประชากรในสังคมเมืองเปลี่ยนไป ผู้บริโภคเริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ต้องการบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย จึงนับเป็นโอกาสที่ประชากรในชนบท ในการเข้าถึงห่วงโซ่อุปทานอาหารมากขึ้น ทั้งด้านการตลาดและการแปรรูป จึงต้องลงทุนปรับโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชนบท เพื่อให้ประชากรในชนบทได้รับประโยชน์จากสังคมเมืองได้มากขึ้น


References 


Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020

       

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารเพื่อคนชนบท

การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารเพื่อคนชนบท 

          International Food Policy Research Institute หรือ IFPRI เปิดเผยว่า การที่สังคมเมืองเติบโตและขยายตัวมากขึ้น ระดับรายได้ที่สูงขึ้น ในขณะที่พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และตลาดอาหารที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในทวีปเอเชียและแอฟริกา นับเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้และการจ้างงานในห่วงโซ่อุปทานอาหาร ในขณะที่ SME ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับคลังสินค้า โลจิสติกส์ การขนส่ง การค้าส่งและค้าปลีก ก็ขยายตัวเป็นอย่างมากเช่นกัน ปรากฏการณ์นี้ Rob Vos และ Andrea Cattaneo เรียกว่า การปฏิวัติเงียบ (Quiet Revolution) หมายถึงกระบวนการเติบโตของห่วงโซ่อุปทานอาหารนั้นอยู่นอกสายตาของผู้กำหนดนโยบาย ทำให้ศักยภาพของห่วงโซ่อุปทานอาหารถูกทิ้งไว้อย่างน่าเสียดาย
      
         นอกจากนั้นประชากรในชนบท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครัวเรือนขนาดย่อมยังประสบความยากลำบากในการเข้าถึงพ่อค้าคนกลางในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากระบบเศรษฐกิจมากเท่าที่ควร ทั้งนี้เนื่องมาจากการขาดแคลนปัจจัยการผลิต ปัญหาที่ดินทำกิน และการใช้ทักษะใหม่ๆเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งการขาดแคลนสาธารณูปโภคพื้นฐานและทักษะเหล่านี้ทำให้ห่วงโซ่อุปทานอาหารในแอฟริกาและเอเชียถูกละเลย ได้รับการพัฒนาไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งที่พื้นที่ชนบทเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่มีศักยภาพสูง  

       Rob Vos และ Andrea Cattaneo จึงเสนอว่าควรจะส่งเสริมและพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารทั้งระบบ เนื่องจากธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารนั้นมีความเชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรม สามารถสร้างผลเชื่อมโยงถอยหลัง (Backward Linkage) ไปยังประชากรที่อาศัยอยู่ในชนบทได้ จึงต้องกระตุ้นการลงทุนทำให้ห่วงโซ่อุปทานอาหารมีความเข้มแข็ง ทำให้ภาคครัวเรือนในชนบทสามารถเข้าถึงตลาด การขนส่ง การกระจายสินค้า การแปรรูป และการค้าปลีก รัฐบาลควรสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจอาหารและสินค้าเกษตร มีสาธารณูปโภคพื้นฐาน สนับสนุนด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและการตลาด นอกจากนั้นยังต้องลงทุนด้านฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ เพื่อการพัฒนาต่อไปในอนาคต เพื่อให้กลุ่มคนที่ถูกมองข้ามในรับประโยชน์อย่างทั่วถึง


      นอกจากนี้การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในชนบท ต้องยกระดับความปลอดภัยทางสังคม (Social Protection) ควบคู่ด้วย ความปลอดภัยทางสังคมตามคำนิยามของ Food and Agriculture Organization (FAO) ให้ความหมายว่า การแทรกแซงเพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประชากรที่เปราะบาง โดยเฉพาะผู้ที่มีฐานะยากจนและอดอยาก โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท    
- การช่วยเหลือทางสังคม เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน
- การประกันภัยทางสังคม เช่น การช่วยเหลือด้านอาหารแก่ประชากรที่อดอยาก การยกระดับรายได้ และสวัสดิการอื่นๆ
- การคุ้มครองตลาดแรงงาน เช่น การอบรมพัฒนาฝีมือเพื่อรองรับต่อตลาดแรงงาน การมีเบี้ยเลี้ยงสำหรับผู้ที่ตกงาน การศึกษาและการสาธารณสุข เป็นต้น

       การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารทั้งระบบจึงเป็นอีกแนวทางที่จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในชนบทได้

References 


Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020

http://www.fao.org/social-protection/overview/whatissp/en/