KIT UDOM RICE

Premium Quality Rice from Ubon Ratchathani, Thailand.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

Premium Grade Hom Mali Rice

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เศรษฐกิจ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เศรษฐกิจ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564

หูเย่าปังกับวิกฤติเทียนอันเหมิน

 หูเย่าปังกับวิกฤติเทียนอันเหมิน

         หูเย่าปัง เป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนระหว่างปี 1980-1987 แต่ดูเหมือนว่าตลอดการดำรงตำแหน่งในฐานะเลขาธิการพรรคของหูเย่าปังนั้นจะไม่ราบรื่นนัก โดยเฉพาะความขัดแย้งกับเติ้งเสี่ยวผิง ที่นับวันจะขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวมาจากประเด็นเรื่องหลักการเสรีนิยม เติ้งเสี่ยวผิงยึดมั่นในหลักการ 4 ประการ (The Four Cardinal Principles) ประกอบด้วย     

  • เดินตามแนวทางสังคมนิยม (the socialist path) 
  • เผด็จการโดยประชาชน (the people's democratic dictatorship) 
  • มีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้นำ (the leadership of the Communist Party) 
  • เดินตามแนวคิดมาร์กซ์ เลนิน และเหมาเจ๋อตุง (Marxist-Leninist-Mao Ze-dong thought) 

 
        ในช่วงทศวรรษ 1980 กระแสแห่งประชาธิปไตยเบ่งบานแนวคิดเสรีนิยมก็เบ่งบานในจีนเช่นกัน เติ้งเสี่ยวผิงมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง จึงนำมาสู่นโยบายการต่อต้านแนวคิดมลภาวะ (Anti-Spiritual Pollution Campaign) นี่จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นความขัดแย้งทางความคิดระหว่างหูเย่าปังและเติ้งเสี่ยวผิง ในขณะที่ต่างประเทศมีความกังวลต่อจีนเกี่ยวกันนโยบายดังกล่าว เจ้าจื่อหยาง เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางไปเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่ออธิบายนโยบายดังกล่าวว่า จะไม่ถูกนำมาใช้ในด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรรม และวิถีชีวิต จึงคลายความกังวลในสายตาของต่างประเทศได้บ้าง 

          ในขณะที่หูเย่าปังมีความกังวลว่านโยบายดังกล่าวจะสร้างความไม่พอใจในหมู่ปัญญาชนและต่างประเทศ และกล่าวกับตัวแทนจากญี่ปุ่นว่านโยบายดังกล่าวไม่ความเหมาะสม นอกจากนั้นหูเย่าปังยังไม่ดำเนินมาตรการอย่างเด็ดขาดกับหวังรั่วสุย (Wang Ruoshui) กัวหลัวจี้ (Guo Luoji) นักวิชาการเสรีนิยม และ หูจี๋เว่ย (Hu Jiwei) บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ People's Daily ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับเติ้งเสี่ยวผิงเป็นอันมาก เพราะเติ้งเสี่ยวผิงมองว่า กระแสเสรีนิยมเริ่มรุนแรงขึ้นในจีนเพราะความอ่อนแอของหูเย่าปัง ความไม่พอใจของเติ้งเสี่ยงผิงเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหูเย่าปังให้สัมภาษณ์กับลู่เคิง บรรณาธิการนิตยสารไป๋ซิ่ง (Ordinary People) ซึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคคอมมิวนิสต์ หนึ่งในบทสัมภาษณ์ลู่เคิงถามหูเย่าปังว่า ทำไมไม่คุมอำนาจกองทัพแทนเติ้งเสี่ยวผิง หูเย่าปังตอบปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าเพียงแค่งานด้านเศรษฐกิจก็ยุ่งมากพอแล้ว  นอกจากนั้นบางช่วงบางตอนลู่เคิงเองก็วิพากษ์วิจารณ์ผู้ใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์หลายคน เช่น เฉินหยุน และ หวังเจิ้น แต่การสัมภาษณ์ในครั้งนั้นกับสร้างความหวาดระแวงของเติ้งเสี่ยวผิงที่มีในตัวหูเย่าปังเพิ่มมากขึ้น 


         และฟางเส้นสุดท้ายก็คือเหตุการณ์ประท้วงของนักศึกษาในเดือนตุลาคม 1986 ซึ่งเติ้งเสี่ยวผิงมองว่าเป็นความผิดของหูเย่าปังที่ไม่ขจัดขัดขว้างขบวนการเสรีนิยมตั้งแต่ต้น หูเย่าปังยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในวันที่ 4 มกราคม 1987 จากนั้นจึงมีการตั้งกรรมการสอบความผิดของหูเย่าปัง โดยหนึ่งในผู้กล่าวโทษหูเย่าปังก็คือ หยูชิวหลี่ หนึ่งในผู้ใกล้ชิดหูเย่าปัง ซึ่งสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งว่า เหตุใดคนที่ทำงานใกล้ชิดหูเย่าปัง กลับกล่าวโทษหูเย่าปังอย่างรุนแรง เป็นที่คาดการณ์กันว่า หยูชิวหลี่ คงอยากสลัดภาพผู้ใกล้ชิดออกไป ไม่อยากรับเคราะห์ตามหูเย่าปังไปด้วย 

          วันที่ 15 เมษายน 1989 หูเย่าปังถึงแก่อนิจกรรม นักศึกษานับพันร่วมชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเพื่อเป็นการไว้อาลัยแด่การจากไปของหูเย่าปัง แต่การชุมนุมยืดเยื้อบานปลายจนกลายเป็นการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมือง แก้ปัญหาการทุจริต เรียกร้องประชาธิปไตย และมีบางส่วนที่หัวรุนแรงต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ เจ้าจื่อหยางขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ดำเนินการให้มีการประนีประนอมจากหลายฝ่าย แต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์การนองเลือดก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติศาสตร์จีน 

สนับสนุนบทความโดยข้าวหอมมะลิตรามงกุฎคู่ 

สามารสั่งทาง shopee ได้แล้ววันนี้
ข้าวหอมมะลิ 5 กก.
ข้ามหอมมะลิ 1 กก.
ข้าวกล้อง 1 กก.
ข้าวไรซ์เบอร์รี่

Reference 

Pu, B., Chiang, R., and Ignatius, A. (2009). Prisoner of the State the Secret Journal of Premier Zhao Ziyang. Simon & Schuster;New York 


    

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564

ก้าวแรกของการเปิดประเทศของจีน

 ก้าวแรกของการเปิดประเทศของจีน 

         ผลพวงจากการใช้นโยบายพึ่งพาตนเอง (Self-reliance) และปิดประเทศ (the Closed-door policy)ของจีน ในสมัยของเหมาเจ๋อตง ทำให้จีนประสบปัญหาในหลายๆอย่าง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือด้านเกษตรกรรม ในขณะที่จีนทุ่มเทงบประมาณด้านชลประทานมากมายแต่กลับได้ผลผลิตน้อยนิด ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เจ้าจื่อหยางตระหนักเป็นอย่างดีว่าสาเหตุเกิดจากการปลูกพืชที่ไม่เหมาะกับสภาพภูมิประเทศ หากปลูกพืชที่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ และส่งออกไปขายเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ต้องการ จะเป็นการช่วยประหยัดงบประมาณและนำไปใช้กับสิ่งที่เกิดประโยชน์มากขึ้น  

                                          Photo by Zetong Li on Unsplash

        ปี 1979 เจ้าจื่อหยางเดินทางไปดูงานในต่างประเทศ พบว่าทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีสภาพภูมิอากาศแห้งและไม่มีฝนในช่วงหน้าร้อน แทนที่ฝรั่งเศสจะลงทุนสร้างระบบชลประทานขนาดใหญ่ แต่กลับเลือกจะปลูกองุ่นที่เหมาะกับสภาพอากาศ ซึ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับเกษตรกร ในอังกฤษก็เช่นกันฝั่งตะวันออก ได้รับแสงแดดที่เพียงพอ เหมาะกับการปลูกข้าวสาลี ในขณะที่ฝั่งตะวันตกได้รับแสงแดดน้อยกว่า จึงเลือกที่จะปลูกหญ้า และฝั่งตะวันตกจึงกลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ การปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนม อีกประเทศคือกรีซ ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งและไม่มีฝน คล้ายกับสภาพอากาศในส่านซีของจีน แต่สำหรับจีนแล้วลงทุนเพื่อพัฒนาชลประทานมากมายเพื่อปลูกข้าว แต่กลับได้ผลผลิตที่ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน และเกษตรกรก็ยังประสบปัญหาอดอยากอีกด้วย แต่กรีซกลับปลูกต้นมะกอกและพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันมะกอก ซึ่งสร้างความมั่งคั่งให้กับเกษตรกรในพื้นที่ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือแม้ว่าเกษตรกรในกรีซจะไม่ได้ปลูกข้าว แต่ปลูกมะกอกก็มีเงินซื้อข้าวได้เช่นกัน กรีซประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ เพราะนโยบายการเปิดประเทศ

                                         Photo by Kirill Sharkovski on Unsplash 


          เจ้าจื่อหยางพบว่าในจีนกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในเหอหนานสภาพภูมิประเทศเป็นดินทราย เหมาะกับการปลูกถั่วลิสง แต่ด้วยนโยบายปิดประเทศเกษตรกรไม่มีทางเลือกนอกจากปลูกข้าวโพด เพื่อให้มีอาหารที่เพียงพอกับการบริโภคในประเทศ แต่ผลกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะสภาพภูมิประเทศที่ไม่เหมาะกับการปลูกข้าวโพด ผลผลิตจึงต่ำ เกษตรกรประสบความยากลำบากยิ่ง ในซานตงก็ประสบปัญหาเช่นกัน เนื่องจากซานตงมีปัญหาดินเค็ม เหมาะกับการปลูกฝ้าย แต่เนื่องจากนโยบายปิดประเทศ หากปลูกฝ้ายประชาชนในพื้นที่จะมีอาหารที่ไม่เพียงพอต่อการบริโภค เกษตรกรจึงไม่มีทางเลือกต้องปลูกข้าวสาลี แต่เนื่องจากข้าวสาลีไม่เหมาะกับการปลูกในดินเค็ม ผลผลิตจึงตกต่ำ ประชาชนในพื้นที่ก็ยังต้องประสบกับความอดอยากเช่นเดิม 

        

           ในปี 1983 เจ้าจื่อหยางตัดสินใจปลูกฝ้ายในพื้นที่ซานตง ผลพลอยได้ที่ได้จากการผลิตฝ้ายก็คือเมล็ดฝ้าย เมื่อนำไปสกัด จะได้น้ำมัน ซึ่งน้ำมันจากเมล็ดฝ้ายสามารถใช้เป็นปุ๋ย ลดความเค็มของดินได้ด้วย เมื่อมีฝ้ายมากขึ้นจีนก็ส่งออกฝ้าย และนำเงินจากการขายฝ้ายนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศแทน การเปิดประเทศช่วยให้เกษตรกรของจีนมีรายได้มากขึ้น และไม่ต้องปลูกพืชที่ไม่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ แต่ปลูกพืชที่สามารถสร้างรายได้ที่สูงกว่า และนำเข้าในสิ่งที่ต้องการ แนวคิดดังกล่าวดูนำไปใช้ในอุตสากรรมเหล็กด้วย แทนที่จะถลุงเหล็กเอง ก็นำเข้าแร่เหล็กที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ เพื่อป้อนโรงงานรีดเหล็กและเหล็กเส้นในประเทศ

Reference 

Pu, B., Chiang, R., and Ignatius, A. (2009). Prisoner of the State the Secret Journal of Premier Zhao Ziyang. Simon & Schuster;New York 




วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ย้อนรอยคมความคิด เจ้าจื่อหยาง

ย้อนรอยคมความคิด เจ้าจื่อหยาง 

           เจ้าจื่อหยาง (Zhao Ziyang) เป็นอดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงปี 1987-1989 ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของวาทะทองที่ว่า "Without political reform, the economic reform program was in peril: for instance, the massive corruption would continue" หากไร้ซึ่งการปฏิรูปทางการเมือง การปฏิรูปเศรษฐกิจย่อมอันตรายอย่างยิ่ง เป็นต้นว่าจะนำมาสู่การฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างใหญ่หลวง เจ้าจื่อหยางดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคแทนหูเย่าปัง (Hu Yaobang) ซึ่งถูกบีบให้ลาออกในปี 1987 หูเย่าปังเป็นผู้ริเริ่มให้มีการปฏิรูปทางการเมืองและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งกับผู้ใหญ่ในพรรค จึงถูกบีบให้ลาออกและเสียชีวิตในปี 1989 ในวันที่หูเย่าปังเสียชีวิต นักศึกษาจำนวนมากมาชุมนุมเพื่อไว้อาลัยให้กับหูเย่าปังที่จัตุรัส เทียนอันเหมิน เมื่อการชุมนุมบานปลายไม่เพียงแต่เป็นการมาไว้อาลัยเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง รวมถึงการเรียกร้องประชาธิปไตยด้วย จนนำมาสู่ความหวาดวิตกให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับหลี่เผิง (Li Peng) ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเหยาอี้หลิน (Yao Yilin) รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น 

                                         Photo by Sam Beasley on Unsplash

       ในขณะที่เจ้าจื่อหยางมีความคิดที่แตกต่างออกไป เสนอให้เจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม และเสนอให้มีการปฏิรูปการเมือง หลังเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เจ้าจื่อหยางถูกปลดจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค และถูกลงโทษโดยการกักบริเวณที่บ้านพักของตนเองเป็นเวลา 16 ปี จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2005 แม้ว่าเส้นทางทางการเมืองของเจ้าจื่อหยางจะไม่ราบรื่นนัก แต่เจ้าจื่อหยางทิ้งผลงานอะไรบ้างให้กับเศรษฐกิจจีน ? เจ้าจื่อหยางเริ่มคลุกวงในเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ร่วมการฟื้นฟูเศรษฐกิจจีนหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยร่วมกับหูเย่าปัง โดยมีเฉินหยุน (Chen Yun) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเป็นหัวหน้าทีม ทั้งเจ้าจื่อหยางและหูเย่าปัง เสนอแผนการพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่เฉินหยุน เสนอการพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้การจัดการ ควบคุมกลไกราคาให้มีความเสรีทีละน้อย และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการขาดดุลเป็นอันดับแรก ในขณะที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นรอง แม้ว่าเจ้าจื่อหยางจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว แต่ด้วยความลุ่มลึกของเฉินหยุน เจ้าจื่อหยางก็อดที่จะนับถือเฉินหยุนไม่ได้ 

                                      Photo by Natalia Chernenko on Unsplash
            

           ในช่วงเวลาของการปฏิรูปนั้นเจ้าจื่อหยางประจำการที่มณฑลเสฉวน เขาเล็งเห็นว่าเกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น เนื่องจากราคาพืชผลทางการเกษตรต่ำและการผูกขาดโดยรัฐ เจ้าจื่อหยางจึงเสนอให้มีการแก้ไข 2 ประเด็นนี้ ในระยะเริ่มต้นเจ้าจื่อหยางสร้างแรงจูงใจให้กับเกษตรกร โดยการให้กรรมสิทธิ์ในการครอบครองที่ดิน เกษตรกรจะเป็นเจ้าของที่นา ไม่ใช่เป็นลูกจ้างของรัฐ เมื่อมีการยกระดับราคาสินค้าเกษตร ทำให้เกษตรกรมีกำไรจากการทำเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น จึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตมากขึ้น ส่งผลให้เกษตรกรมีข้าวเพียงพอต่อการบริโภค บรรลุนโยบายอยู่อุ่น กินอิ่มของ เติ้งเสี่ยวผิง (Deng Xiaoping) แต่นโยบายดังกล่าวก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนอีกอย่างหนึ่ง คือเมื่อราคาสินค้าเกษตรเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ใช้แรงงานในเมืองต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น รัฐบาลจึงต้องชดเชยในส่วนนี้ กอปรกับการลดการผูกขาดของรัฐ ทำให้รัฐต้องหันไปนำเข้าสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าวจากต่างประเทศ ทำให้ต้องใช้เงินตราต่างประเทศมากขึ้น หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจีนต้องพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศ เพราะในขณะนั้นเงินทุนภายในประเทศมีไม่เพียงพอ 

            ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุผลว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศต้องแลกกับการลดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เจ้าจื่อหยางเสนอให้ลดขนาดอุตสาหกรรมหนัก เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก แต่ส่งเสริมอุตสาหกรรมเบา เช่น สิ่งทอ สินค้าอุปโภคบริโภค ภาคธุรกิจบริการ และส่งเสริมธุรกิจเอกชน จนทำให้เศรษฐกิจจีนโตถึง 4% ในปี 1981 

Reference 

Pu, B., Chiang, R., and Ignatius, A. (2009). Prisoner of the State the Secret Journal of Premier Zhao Ziyang. Simon & Schuster;New York 


วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

แนวทางการพัฒนาชนบทแบบ Rurbanomics

แนวทางการพัฒนาชนบทแบบ Rurbanomics
      
           Rurbanomics คือการเชื่อมโยงสังคมชนบทกับสังคมเมืองด้วยเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดจากคำว่า Rural (ชนบท) Urban (ในเมือง) และ Economics (เศรษฐศาสตร์) ในยุคปัจจุบันพบว่าประชากรในสังคมเมืองมีความต้องการบริโภคอาหารปลอดภัยมากขึ้น ห่วงโซ่อุปทานอาหารมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น หรือที่ Rob Vos และ Andrea Cattaneo เรียกว่า Quiet Revolution หรือการปฏิวัติเงียบ จึงเป็นโอกาสสำหรับสังคมชนบทที่อยู่บนพื้นฐานของเกษตรกรรมได้รับประโยชน์จากสังคมเมืองมากขึ้น แต่สังคมชนบทยังต้องพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีเครื่องจักรสมัยใหม่เข้ามาช่วย จึงจะสามารถเข้าถึงตลาดได้ เพื่อไม่ให้ประชากรในชนบทถูกทิ้งไว้ข้างหลัง Rob Vos และ Andrea Cattaneo จึงเสนอแนวทางในการพัฒนาชนบท ตามแนว Rurbanomics 4 แนวทาง คือ การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน การส่งเสริมธุรกิจการเกษตร การพัฒนาเทคโนโลยี และ เสริมศักยภาพของชาวนาและการจัดการความเสี่ยง



           1. การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน จากข้อมูล IFPRI ระบุว่า 84% ของเกษตรกรรายย่อย ถือครองที่ดินน้อยกว่า 12 ไร่ และหลายประเทศในแอฟริกาและเอเชียใต้ ขนาดการถือครองที่ดินยังมีแนวโน้มลดลงด้วย จึงเป็นกับดักรายได้และเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มผลผลิตและการพัฒนา Rob Vos และ Andrea Cattaneo เสนอให้ขยายการถือครองที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เพื่อที่เกษตรกรจะได้ประโยชน์จากขนาด หรือ Economies of Scale ซึ่งการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน อาจจะให้สิทธิในการถือครอง หรือการให้เช่าก็ได้ เช่น ในบังกลาเทศ 40%ของการถือครองเกิดจากการเช่าที่ดินทำกิน หรือการใช้ที่ดินภายใต้การบริหารจัดการ นอกจากนั้นภาครัฐยังต้องสนับสนุนด้านเครื่องจักรที่ทันสมัยแก่เกษตรกร ซึ่งอาจจะให้เกษตรกรเช่า หรือการใช้ร่วมกัน เช่น ในเอเชียตะวันออกส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันและใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกัน

        
          2. ส่งเสริมธุรกิจการเกษตร ตามแนวคิดของ Rob Vos และ Andrea Cattaneo คือให้ภาคธุรกิจร่วมกับภาคเกษตรกรรมทำพันธะสัญญาร่วมกันเป็นการตลาดแบบองค์รวม (Collective Marketing) เนื่องจากการทำเกษตรของเกษตรกรรายย่อย ประสบปัญหาหลายอย่าง ขาดแคลนเงินทุน ปัจจัยการผลิต และผลิตสินค้าไม่ได้คุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด จึงทำให้ขายสินค้าในราคาต่ำ ดังนั้นเกษตรกรรายย่อยจึงต้องรวมกลุ่มกันในการผลิต และขายให้กับธุรกิจที่ทำพันธะสัญญาด้วย ในขณะที่ภาคธุรกิจสนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น เงินทุน โดยใช้ผลผลิตเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ลงทุนคลังสินค้า และเครื่องจักรให้กับเกษตรกร ในขณะที่เกษตรกรต้องผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่ตลาดต้องการ
              
          การทำการตลาดแบบองค์รวมนั้นเกษตรกรต้องรวมกลุ่มกัน เพื่อผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน และต้องให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ผู้ซื้อต้องการ ซึ่งหากทำได้จริงการรวมกลุ่มกันและสินค้ามีคุณภาพ จะทำให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้นได้ รวมทั้งอาจจะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ด้วย เพราะสามารถใช้ปัจจัยการผลิต เช่น รถแทรกเตอร์ หรือยานพาหนะ ร่วมกันได้



        แม้ว่าการตลาดองค์รวมจะเป็นทางออกสำหรับเกษตรกรรายย่อยก็จริง แต่การปฏิบัติยังประสบปัญหาอีกมากเช่น ขาดความโปร่งใส ตัวแทนกลุ่มอาจจะเจรจาราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรือกลุ่มเกษตรกรที่ขาดผู้นำที่จะสามารถโน้มน้าวสมาชิกให้มีความเข้มแข็ง หรือขาดความเป็นเอกภาพภายในกลุ่ม เช่น เกษตรกรบางรายอาจคิดว่าสินค้าของตนเองดีกว่าของสมาชิกอื่น ควรที่จะได้รับราคาสูงกว่าสมาชิกคนอื่นเป็นต้น ดังนั้นเกษตรกรควรได้รับการศึกษาและการอบรมเพื่อสร้างความเข้าใจในการทำงาน และเข้าใจกลไกตลาด จึงทำให้การตลาดแบบองค์รวมประสบความสำเร็จ


References

Robbins, P., Bikande, F., Ferris, S., Kleih, U., Okoboi, G. and Wandschneider, T. (2004) Manual for Collective Marketing for Smallholder farmers. Retrieved from http://www.fao.org/sd/erp/toolkit/BOOKS/manual4_collectivemarketing.pdf July, 25 2020

Sarkar, Sayantan & Mishra, Dheeraj & Ghadei, Kalyan. (2014). Collective Marketing – A Hope for the Farmers. Indian Journal of Crop Ecology. 2. 21-26

Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พัฒนาชนบทอย่างไรให้เข้มแข็ง (2)

พัฒนาชนบทอย่างไรให้เข้มแข็ง (2)

         อุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่ในไนจีเรีย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จในการเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสังคมเมืองไปสู่สังคมชนบท ซึ่งสามารถเพิ่มรายได้และการจ้างงานในชนบทได้ ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจและสังคมเมืองของไนจีเรียมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ดังนั้นอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่จึงได้รับอานิสงส์ไปด้วย อุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่นี้สร้างงานให้กับเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 8 ล้านคน และตำแหน่งงานอีกกว่าหมื่นตำแหน่งในธุรกิจการค้า โรงสี โลจิสติกส์ การขนส่ง และคลังสินค้า

        
           ไม่น่าเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของการบริโภคเนื้อไก่ตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมานี้ นำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารไก่ที่เติบโตขึ้นกว่า 6 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับทุกผู้คนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมนี้ SME สามารถเติบโตต่อไปได้ เกษตรกรรายย่อยมีกำไรจากการปลูกข้าวโพดทั้งในพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคใต้ และยังต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมประมง โดยการปลูกข้าวโพดเพื่อเลี้ยงปลาอีกด้วย ดังนั้นการพัฒนาชนบทให้เข้มแข็ง หัวใจจึงอยู่ที่การสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตร และเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสังคมเมืองกับการผลิตในสังคมชนบท เพื่อที่ประชากรในชนบทจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของสังคมเมืองด้วย ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างงานสร้างรายได้เท่านั้น แต่ยังสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้อีกด้วย


        การเชื่อมโยงตลาดดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ภาคชนบทยังต้องอาศัยการพัฒนาอีกมากเช่นกัน โดยเฉพาะมาตรฐานอาหารปลอดภัย และการศึกษา กล่าวคือการจะยกระดับการผลิตให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นได้นั้น ต้องมีมาตรฐานสากล มีการรับรองระบบมาตรฐาน ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม จึงจะสามารถเพิ่มตลาดใหม่ๆ เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร  โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้บริโภค ใส่ใจเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยมากขึ้น เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพื่อพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค แต่การทำมาตรฐานต้องมีการลงทุนและค่าใช้จ่าย รัฐบาลควรให้การสนับสนุนในส่วนนี้เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยและ SME 
  
        นอกจากนั้น Rob Vos และ Andrea Cattaneo ยังเสนออีกว่าลดภาษีนำเข้า เนื่องจากปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร เช่น ปุ๋ย และเครื่องมือทางการเกษตร ส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้า หากลดภาษีนำเข้าได้ จะเป็นการลดต้นทุนให้กับเกษตรกรรายย่อยได้อีกทางหนึ่ง


        เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจประชากรในชนบทต้องได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพ เช่น การทำธุรกิจ และเทคโนโลยี ซึ่งการได้รับการศึกษาจะช่วยให้พัฒนาฝีมือแรงงานและประกอบอาชีพได้หลากหลาย และยกระดับค่าครองชีพอีกด้วย รัฐบาลจึงควรส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาทั้งระดับอาชีวะและการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งการอบรมแก่คนทำงาน เพื่อให้มีความรู้สำหรับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ครอบคลุมทั้งความรู้ด้านดิจิตอล กระบวนการผลิต มาตรฐานสากล เทคโนโลยี และการทำธุรกิจ

References 

Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020
  





วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

บทเรียนจาก Rurbanomics


บทเรียนจาก Rurbanomics
   
       การฟื้นฟูสังคมชนบทต้องเข้าใจปัญหาของแต่ละพื้นที่ แต่ละชุมชนมีความต้องการที่แตกต่างกัน จึงต้องการการพัฒนาที่ต่างกันด้วย อาทิเช่น ในทวีปแอฟริกาต้องการพัฒนาด้านเกษตรกรรม ในเอเชียใต้ต้องกระจายความเจริญสู่ชนบท เพื่อเพิ่มการจ้างงานในชนบทและลดการอพยพเข้าเมือง สำหรับจีนนั้นต้องปรับปรุงการพัฒนาชนบทเพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมชนบทเพื่อดึงดูดให้คนหนุ่มสาวทำงานในชนบท แทนการอพยพเข้าเมืองใหญ่ การฟื้นฟูสังคมชนบทตามแนวทาง Rurbanomics นั้นพัฒนาในหลายมิติ อย่างเช่น


      1. สร้างความเชื่อมโยงระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบทอย่างเข้มแข็ง โดยการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานอาหารทั้งกระบวนการผลิต การกระจายสินค้า การตลาด การบริการ และสร้างโอกาสใหม่ๆในการทำงานให้กับแรงงานในพื้นที่ชนบท และต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปแบบยั่งยืน หัวใจสำคัญของ Rurbanomics ก็คือสังคมเมืองและสังคมชนบทต้องเป็นพาร์ทเนอร์กันอย่างเท่าเทียม

       2. Rurbanomics ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเกษตรกรรมเป็นรากฐาน แต่ก็ไม่ละเลยกิจกรรมนอกภาคเกษตร เพราะการเติบโตของภาคการเกษตรจะทำให้ภาคส่วนอื่นเติบโตตามไปด้วย เช่น ภาคอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป การขนส่ง การบริการทางการเงิน และการบ่มเพาะผู้ประกอบการ

       3. องค์กรท้องถิ่นต้องมีธรรมาภิบาลตรวจสอบได้ มีรายได้ที่เพียงพอในการจัดการท้องถิ่นของตนเอง ประชาชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนท้องถิ่นของตนเอง

      Rurbanomics จึงเป็นอีกแนวทางในการพัฒนาชนบทในประเทศไทย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ





References 
  Steiner, A. and Fan, S. (2019). Rural Revitalization Tapping into New Opportunity. Retrieved from https://www.ifpri.org/publication/2019-global-food-policy-report 26 June 2020







ลดความเหลื่อมล้ำด้วย Rurbanomics

ลดความเหลื่อมล้ำด้วย Rurbanomics 
      การฟื้นฟูสังคมชนบทด้วยวิถี Rurbanomics ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาด้านเกษตรกรรมเท่านั้น แต่ยังพลิกฟื้นพื้นที่ชนบทให้เป็นพื้นที่ที่น่าอยู่อีกด้วย เพื่อให้คนหนุ่มสาวมีความหวัง สามารถเติบโตและเข้มแข็งต่อไป โดยไม่ต้องอพยพเข้ามาในสังคมเมือง ซึ่งจะเป็นการลดความแออัดและกระจายความเจริญสู่สังคมชนบทอีกด้วย แต่การจะฟื้นฟูสังคมชนบทได้นั้นต้องลงทุนสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจของสังคมชนบท
     1. ลงทุนด้านเศรษฐกิจ Achim Steiner และ Shenggen Fan เสนอว่าพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อวางรากฐานทางด้านการเกษตรและภาคส่วนอื่นๆไปพร้อมกัน เช่น การศึกษา สาธารณสุข  นอกจากนั้นยังต้องลงทุนด้านการสื่อสาร คมนาคม และระบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเชื่อมโยงสังคมชนบทกับสังคมเมือง ทำให้เกิดโอกาสทางการตลาดใหม่ๆแก่สินค้าเกษตร ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศบังกลาเทศ เมื่อมีการก่อสร้างถนน ทำให้การขนส่งสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ลดการเน่าเสียของสินค้าเกษตรอันเนื่องมาจากการขนส่งล่าช้า ซึ่งสามารถลดจำนวนประชากรที่ยากจนอย่างมากได้ถึง 3-6% และยังทำให้เด็กที่มีฐานะยากจนสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้

       นอกจากนั้นการพัฒนาด้านเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ เช่น คลองชลประทาน การเพาะปลูก การใส่ปุ๋ย และการเก็บเกี่ยว จะสามารถส่งเสริมกิจกรรมนอกภาคการเกษตรได้อีกด้วย  เช่น ในประเทศจีน เมื่อการเกษตรกรรมได้รับการพัฒนา ความสูญเสียอันเกิดจากภัยธรรมชาติลดลง ก็จะนำไปสู่การลงทุนในด้านนวัตกรรม ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการ และภาคอุตสาหกรรม อันจะส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการในสังคมชนบทมากขึ้น ทำให้เพิ่มอาชีพที่หลากหลาย ทำให้พื้นที่ชนบทเป็นที่ที่น่าอยู่ และเป็นความหวังให้กับคนรุ่นใหม่ได้

      2. การลงทุนด้านเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ตและระบบโทรคมนาคมก็เป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยให้ประชากรเข้าถึงแหล่งข้อมูลและราคาตลาด การส่งเสริมให้ประชากรในชนบทสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน จะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะเชื่อมโยงสังคมชนบทกับสังคมเมืองได้มากขึ้น ประชากรในชนบทจะสามารถเข้าถึงข้อมูล การบริการทางการเงิน และธนาคารออนไลน์ ซึ่งจะมีส่วนในการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในการประกอบธุรกิจได้ด้วย


      3. การลงทุนด้านการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ อย่างประเทศในแอฟริกา ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา มีระบบการศึกษาที่ไม่ดีพอสำหรับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ทำให้ทางเลือกในการประกอบอาชีพของประชากรมีจำกัด การพัฒนาด้านการศึกษาตามแนวทาง Rurbanomics ต้องส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ประชากรชนบทสามารถอ่านออกเขียนได้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ประชากรสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและราคาตลาด จากนั้นจึงพัฒนาการศึกษาระดับอาชีวะและอุดมศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประชากรในชนบทสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ สร้างเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และเสริมทักษะในงานด้านบริการให้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงทักษะในโรงงานเท่านั้น การศึกษาต้องเน้นสร้างทักษะเพื่อตอบโจทย์โอกาสทางธุรกิจด้วย

       Rurbanomics คือการพัฒนาสังคมชนบทให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ พัฒนาในทุกมิติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน

References 
  Steiner, A. and Fan, S. (2019). Rural Revitalization Tapping into New Opportunity. Retrieved from https://www.ifpri.org/publication/2019-global-food-policy-report 26 June 2020

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2563

Rurbanomics วิถีใหม่แห่งการพัฒนา



Rurbanomics วิถีใหม่แห่งการพัฒนา 

     Rurbanomics คือการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมชนบทให้เชื่อมโยงกับการเติบโตของสังคมเมือง ในฐานะที่เป็นพาร์ทเนอร์ที่เท่าเทียมและพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งแนวทางการพัฒนาตามวิถี Rurbanomics แบ่งออกเป็น 4 ด้าน

     1. เอาใจใส่ความต้องการของสังคมชนบท
     2. พัฒนาทรัพยากรท้องถิ่น และสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงสังคมชนบทกับสังคมโลก โดยอยู่บนหลักการของความหลากหลายและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ
     3. เชื่อมโยงโอกาสของสังคมชนบทกับสังคมโลก
     4. กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และส่งเสริมธรรมาภิบาลในสังคมชนบท


      Rurbanomics เป็นแนวทางการพัฒนาสังคมชนบทในหลากหลายมิติ ไม่เพียงจำเพาะแค่ภาคการเกษตรเท่านั้น จากรายงานของ The International Food Policy Research Institute (IFPRI) ชี้ว่าการพัฒนาภาคเกษตรยังส่งผลให้เกิดการเติบโตของกิจกรรมนอกภาคเกษตรได้ด้วย เนื่องจากการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อส่งไปขายในเมือง ก็ต้องอาศัยการพัฒนาระบบขนส่ง คลังสินค้าและการจัดเก็บ การค้าปลีกและการค้าส่ง การบริการทางการเงิน ตลอดทั้งการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ทำให้สังคมชนบทขยายจากภาคเกษตร สู่ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับรายได้ของประชากรในชนบทในที่สุด

       อย่างไรก็ตาม การพัฒนาในสังคมชนบทยังต้องอาศัยการพัฒนาอีกมาก โดยเฉพาะการลงทุนด้านนวัตกรรม การวิจัยและการพัฒนา เพื่อให้การผลิตในภาคการเกษตรน่าสนใจและดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ทำงานในชนบท เพื่อลดความแออัดในสังคมเมือง นอกจากนั้นยังต้องพัฒนาระบบชลประทานเพื่อลดความเสียหายอันเกิดจากภัยธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศเอธิโอเปีย เคนยา และไนเจอร์ ลงทุนก่อสร้างระบบชลประทาน ส่งผลให้ประชากรในภาคการเกษตรมีช่วงเวลาในการทำการเกษตรที่ยาวนานขึ้น เพราะมีแหล่งน้ำที่เพียงพอ และยังเพิ่มความหลากหลายของพืชเศรษฐกิจ และลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติอีกด้วย

     กิจกรรมนอกภาคการเกษตรก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะเป็นกิจกรรมที่จะดึงให้คนยากจนในชนบทยกฐานะให้หลุดพ้นจากความยากจนไปได้ เช่น ในประเทศปากีสถาน พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของงานนอกภาคการเกษตรช่วยสร้างงานให้กับแรงงานในพื้่นที่ชนบท อีกตัวอย่างคือประเทศจีน ที่ยกระดับประชากรกว่า 223 ล้านคนที่ทำงานในภาคการเกษตรในพื้นทีชนบท ให้มาทำงานในกิจกรรมนอกภาคการเกษตร พบว่ามีประชากร 23 ล้านคนเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถสร้างงานให้กับประชากรอีก 119 ล้านคนได้ ซึ่งประชากรในกลุ่มนี้ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกถึง 40% ของมูลค่าทั้งหมด


     ถึงแม้ว่าจะมีการเติบโตของกิจกรรมนอกภาคการเกษตร แต่ช่องว่างของรายได้ระหว่างภาคชนบทและภาคตัวเมืองก็ยังห่างกันมาก รัฐบาลจีนจึงออกนโยบายยกระดับภาคชนบทโดยการลงทุนในสาธารณูปโภค เทคโนโลยี และนวัตกรรม การบริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสาธารณสุข และปฏิรูปธรรมาภิบาลของท้องถิ่น ซึ่งเป็นวิถีใหม่แห่งการพัฒนาสังคมชนบทที่ถูกละเลยมานาน





References 

Steiner, A. and Fan, S. (2019). Rural Revitalization Tapping into New Opportunity. Retrieved from https://www.ifpri.org/publication/2019-global-food-policy-report 26 June 2020

Fan, S. and Badiane, O. (2019). Rurbanomics: The Path to Rural Revitalization in Africa. Retrieved from https://www.ifpri.org/blog/rurbanomics-path-rural-revitalization-africa 26 June 2020

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ฟื้นฟูภาคชนบทด้วยวิถี Rurbanomics

ฟื้นฟูภาคชนบทด้วยวิถี Rurbanomics
       การฟื้นฟูภาคชนบท (Rural Revitalization) คือการพัฒนาพื้นที่ชนบทในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าเกษตร ให้มีความปลอดภัย ยั่งยืน และเปลี่ยนภาคชนบทให้เป็นพื้นที่ที่น่าอยู่ เพื่อลดความแออัดในตัวเมือง ปัจจุบันพบว่าเศรษฐกิจในตัวเมืองขยายตัวมากขึ้น ประชากรที่อาศัยในตัวเมืองมีรายได้ที่มากขึ้น ในขณะที่ประชากรในภาคชนบทกลับทิ้งถิ่นฐานเพื่อไปหาโอกาสที่ดีกว่าในเมืองใหญ่ จึงเป็นโจทย์ที่ว่าทำอย่างไรที่จะทำให้ภาคชนบทได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตัวเมือง

     
       Rurbanomics จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะเชื่อมโยงภาคชนบทและตัวเมืองเข้าด้วยกัน และเติบโตไปพร้อมกัน Rurbanomics มาจากคำว่า Rural แปลว่า ภาคชนบท Urban แปลว่า ตัวเมือง และ Economics แปลว่า เศรษฐกิจ พูดง่ายๆก็คือ การเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคชนบทและภาคตัวเมืองเข้าด้วย โดยการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานด้านอาหาร คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการที่ภาคตัวเมืองขยายตัวขึ้นนั้น ความต้องการอาหารก็มีสูงขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้นประชากรในเมืองยังต้องการอาหารที่มีความสะอาด ปลอดภัย และยั่งยืนอีกด้วย และด้วยวิถีที่เร่งรีบของประชากรในเมือง ความต้องการอาหารปรุงสำเร็จ เพียงแค่อุ่นในไมโครเวฟก็สามารถรับประทานได้เลย ก็กำลังเป็นวิถีใหม่ที่คนเมืองต้องการ จึงเป็นโอกาสที่ภาคชนบทจะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาด้านการเกษตรเพื่อตอบโจทย์ของคนเมือง  หากการเชื่อมโยงดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง จะสามารถสร้างความหลากหลายในการประกอบอาชีพ ทำให้แรงงานในภาคชนบทได้ประโยชน์ การผลิต การตลาด และการกระจายสินค้าได้รับการพัฒนา ภาคชนบทก็จะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของตัวเมืองด้วย

    จากบทความของ Achim Steiner และ Shenggen Fan ยังกล่าวอีกว่า ไม่เพียงแค่ต้องพัฒนาการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารในภาคชนบทเท่านั้น แต่ยังต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อม ยกระดับการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ไปจนถึงระดับอาชีวะศึกษา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรในชนบท เพื่อรองรับงานที่หลากหลายมากขึ้น ยกตัวอย่างการพัฒนาชนบทในจีน อินเดีย และเนปาล ที่มีการลงทุนในด้านการวิจัยด้านการเกษตร พัฒนาด้านการศึกษา และคมนาคม ทำให้ลดความยากจนอย่างมีนัยสำคัญ

     เป็นที่ทราบกันว่า กิจกรรมการเกษตรมีส่วนทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งการแผ้วถางป่า และยังเพิ่มก๊าซเรือนกระจก  แต่การพัฒนาชนบทตามแนว Rurbanomics นั้นไม่เพียงแต่ครอบคลุมปริมณฑลด้านการเกษตรเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมนอกภาคการเกษตรอีกด้วย กล่าวคือต้องพัฒนาการทำการเกษตรและควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย โดยการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล ซึ่งเป็นการนำของเหลือจากภาคการเกษตรมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า ไม่เพียงแต่ช่วยลดโลกร้อน แต่ยังส่งเสริมธุรกิจนอกภาคการเกษตร เป็นการเพิ่มความหลากหลายในการประกอบอาชีพอีกด้วย


       ตัวอย่างเช่น ประเทศไนจีเรีย พบว่าสินค้าอาหารกว่า 45% ต้องเน่าเสีย เนื่องจากขาดแคลนตู้เย็นหรือห้องเย็นเพื่อเก็บรักษาอาหาร จึงมีแนวคิดในการสร้างห้องเย็นเพื่อรักษาสินค้าอาหารจากพลังงานแสงอาทิตย์

        Rurbanomics เน้นความเชื่อมโยงและการพึ่งพากันระหว่างภาคตัวเมืองและภาคชนบท ซึ่งจะเป็นการดึงศักยภาพของภาคชนบทให้สูงขึ้น และสามารถทำได้มากกว่าแค่ผลิตอาหารป้อนคนเมือง


References 

Steiner, A. and Fan, S. (2019). Rural Revitalization Tapping into New Opportunity. Retrieved from https://www.ifpri.org/publication/2019-global-food-policy-report 26 June 2020

Fan, S. and Badiane, O. (2019). Rurbanomics: The Path to Rural Revitalization in Africa. Retrieved from https://www.ifpri.org/blog/rurbanomics-path-rural-revitalization-africa 26 June 2020

Rurbanomics การพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน



 Rurbanomics การพัฒนาชนบทอย่างยั่งยืน 

         รายงานของ The International Food Policy Research Institute (IFPRI) ระบุว่าภาคในเมืองมีการเติบโต ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งโลกอาศัยอยู่ในตัวเมือง ในขณะที่ ภายในปี 2050 ประชากรกว่า 2 ใน 3 ของทั้งโลกจะกลายเป็นคนเมือง สวนทางกับภาคชนบทที่ปัจจุบันนี้มีประชากรประมาณ 45.3% ของประชากรทั้งโลกอาศัยอยู่ในภาคชนบท ซึ่งในจำนวนนี้มีประชากรมากถึง 70% ที่อยู่ในสถานะยากจนเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งสาเหตุแห่งความยากจนเกิดจาก ภาวะการว่างงาน การขาดแคลนสาธารณูปโภคพื้นฐาน การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ขาดบริการด้านการศึกษาและสาธารณสุขที่มีคุณภาพ และภาวะโลกร้อนซึ่งทำให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย จึงทำให้กลุ่มคนยากจนเหล่านี้ ยากยิ่งที่จะลืมตาอ้าปาก
           ในทศวรรษ 1990 ธนาคารโลกออกมายอมรับว่าภาคชนบทได้รับการละเลยในการพัฒนามานานหลายทศวรรษ ถึงเวลาที่ต้องฟื้นฟูภาคชนบทแล้ว โดยตั้งอยู่บนโจทย์ที่ว่า ทำอย่างไรภาคชนบทจะได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของภาคตัวเมือง 

           Achim Steiner และ Shenggen Fan เล็งเห็นความเชื่อมโยงระหว่างภาคตัวเมืองและภาคชนบทว่า การที่ตัวเมืองขยายตัวนั้นย่อมมาคู่กับความต้องการด้านอาหารที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นด้วย ประชากรในเมืองต้องการความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัย และความยั่งยืน ในขณะที่ภาคชนบทต้องการโอกาสในการพัฒนา จึงเกิดแนวคิด Rurbanomics ซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่าง Rural (ภาคชนบท) Urban (ภาคตัวเมือง) Economics (เศรษฐศาสตร์)


            กล่าวคือ Rurbanomics คือการพัฒนาเศรษฐกิจโดยอยู่บนพื้นฐานของการพึ่งพาอาศัยกันของภาคตัวเมืองและภาคชนบท ซึ่งการเชื่อมโยงดังกล่าวจะทำให้เกิดการพัฒนา การสร้างงาน และสร้างความหลากหลายในการประกอบอาชีพทั้งในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตรในชนบท ซึ่งเป็นการเพิ่มรายได้และพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรในชนบทได้รับการพัฒนาที่ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าประชากรในภาคชนบทจะได้รับประโยชน์ที่มากขึ้นจากการขยายตัวของภาคตัวเมือง
         

        ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเซเนกัล ทวีปแอฟริกา ในขณะที่ภาคตัวเมืองเติบโตมากขึ้น พฤติกรรมของประชากรในตัวเมืองก็เปลี่ยนแปลงไป ชีวิตที่ต้องเร่งรีบ จึงนำมาสู่ความต้องการอาหารที่รีบเร่ง อาหารประเภท Ready-to-Cook หรือ Ready-to-Eat หรืออาหารสำเร็จรูปประเภทพร้อมรับประทาน จึงมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นโอกาสสำหรับภาคชนบทที่ต้องพัฒนากระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน ที่จะต้องผลิตอาหารที่พร้อมรับประทาน ไม่เพียงแค่ผลิตวัตถุดิบเท่านั้น จากการพัฒนาดังกล่าวจะทำให้เกิดความหลากหลายในการสร้างงานและสร้างอาชีพ ประชากรในชนบทไม่จำเป็นต้องอพยพเข้าไปหางานทำในตัวเมือง Rurbanomics จึงเป็นแนวทางในการยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในชนบท

References 

Steiner, A. and Fan, S. (2019). Rural Revitalization Tapping into New Opportunity. Retrieved from https://www.ifpri.org/publication/2019-global-food-policy-report 26 June 2020

Fan, S. and Badiane, O. (2019). Rurbanomics: The Path to Rural Revitalization in Africa. Retrieved from https://www.ifpri.org/blog/rurbanomics-path-rural-revitalization-africa 26 June 2020