KIT UDOM RICE

Premium Quality Rice from Ubon Ratchathani, Thailand.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

Premium Grade Hom Mali Rice

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความเหลื่อมล้ำ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความเหลื่อมล้ำ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

แนวทางการพัฒนาชนบทแบบ Rurbanomics

แนวทางการพัฒนาชนบทแบบ Rurbanomics
      
           Rurbanomics คือการเชื่อมโยงสังคมชนบทกับสังคมเมืองด้วยเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดจากคำว่า Rural (ชนบท) Urban (ในเมือง) และ Economics (เศรษฐศาสตร์) ในยุคปัจจุบันพบว่าประชากรในสังคมเมืองมีความต้องการบริโภคอาหารปลอดภัยมากขึ้น ห่วงโซ่อุปทานอาหารมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น หรือที่ Rob Vos และ Andrea Cattaneo เรียกว่า Quiet Revolution หรือการปฏิวัติเงียบ จึงเป็นโอกาสสำหรับสังคมชนบทที่อยู่บนพื้นฐานของเกษตรกรรมได้รับประโยชน์จากสังคมเมืองมากขึ้น แต่สังคมชนบทยังต้องพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีเครื่องจักรสมัยใหม่เข้ามาช่วย จึงจะสามารถเข้าถึงตลาดได้ เพื่อไม่ให้ประชากรในชนบทถูกทิ้งไว้ข้างหลัง Rob Vos และ Andrea Cattaneo จึงเสนอแนวทางในการพัฒนาชนบท ตามแนว Rurbanomics 4 แนวทาง คือ การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน การส่งเสริมธุรกิจการเกษตร การพัฒนาเทคโนโลยี และ เสริมศักยภาพของชาวนาและการจัดการความเสี่ยง



           1. การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน จากข้อมูล IFPRI ระบุว่า 84% ของเกษตรกรรายย่อย ถือครองที่ดินน้อยกว่า 12 ไร่ และหลายประเทศในแอฟริกาและเอเชียใต้ ขนาดการถือครองที่ดินยังมีแนวโน้มลดลงด้วย จึงเป็นกับดักรายได้และเป็นอุปสรรคต่อการเพิ่มผลผลิตและการพัฒนา Rob Vos และ Andrea Cattaneo เสนอให้ขยายการถือครองที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เพื่อที่เกษตรกรจะได้ประโยชน์จากขนาด หรือ Economies of Scale ซึ่งการแก้ปัญหาที่ดินทำกิน อาจจะให้สิทธิในการถือครอง หรือการให้เช่าก็ได้ เช่น ในบังกลาเทศ 40%ของการถือครองเกิดจากการเช่าที่ดินทำกิน หรือการใช้ที่ดินภายใต้การบริหารจัดการ นอกจากนั้นภาครัฐยังต้องสนับสนุนด้านเครื่องจักรที่ทันสมัยแก่เกษตรกร ซึ่งอาจจะให้เกษตรกรเช่า หรือการใช้ร่วมกัน เช่น ในเอเชียตะวันออกส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันและใช้ปัจจัยการผลิตร่วมกัน

        
          2. ส่งเสริมธุรกิจการเกษตร ตามแนวคิดของ Rob Vos และ Andrea Cattaneo คือให้ภาคธุรกิจร่วมกับภาคเกษตรกรรมทำพันธะสัญญาร่วมกันเป็นการตลาดแบบองค์รวม (Collective Marketing) เนื่องจากการทำเกษตรของเกษตรกรรายย่อย ประสบปัญหาหลายอย่าง ขาดแคลนเงินทุน ปัจจัยการผลิต และผลิตสินค้าไม่ได้คุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด จึงทำให้ขายสินค้าในราคาต่ำ ดังนั้นเกษตรกรรายย่อยจึงต้องรวมกลุ่มกันในการผลิต และขายให้กับธุรกิจที่ทำพันธะสัญญาด้วย ในขณะที่ภาคธุรกิจสนับสนุนปัจจัยการผลิต เช่น เงินทุน โดยใช้ผลผลิตเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ลงทุนคลังสินค้า และเครื่องจักรให้กับเกษตรกร ในขณะที่เกษตรกรต้องผลิตสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานที่ตลาดต้องการ
              
          การทำการตลาดแบบองค์รวมนั้นเกษตรกรต้องรวมกลุ่มกัน เพื่อผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน และต้องให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ผู้ซื้อต้องการ ซึ่งหากทำได้จริงการรวมกลุ่มกันและสินค้ามีคุณภาพ จะทำให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้นได้ รวมทั้งอาจจะสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ด้วย เพราะสามารถใช้ปัจจัยการผลิต เช่น รถแทรกเตอร์ หรือยานพาหนะ ร่วมกันได้



        แม้ว่าการตลาดองค์รวมจะเป็นทางออกสำหรับเกษตรกรรายย่อยก็จริง แต่การปฏิบัติยังประสบปัญหาอีกมากเช่น ขาดความโปร่งใส ตัวแทนกลุ่มอาจจะเจรจาราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หรือกลุ่มเกษตรกรที่ขาดผู้นำที่จะสามารถโน้มน้าวสมาชิกให้มีความเข้มแข็ง หรือขาดความเป็นเอกภาพภายในกลุ่ม เช่น เกษตรกรบางรายอาจคิดว่าสินค้าของตนเองดีกว่าของสมาชิกอื่น ควรที่จะได้รับราคาสูงกว่าสมาชิกคนอื่นเป็นต้น ดังนั้นเกษตรกรควรได้รับการศึกษาและการอบรมเพื่อสร้างความเข้าใจในการทำงาน และเข้าใจกลไกตลาด จึงทำให้การตลาดแบบองค์รวมประสบความสำเร็จ


References

Robbins, P., Bikande, F., Ferris, S., Kleih, U., Okoboi, G. and Wandschneider, T. (2004) Manual for Collective Marketing for Smallholder farmers. Retrieved from http://www.fao.org/sd/erp/toolkit/BOOKS/manual4_collectivemarketing.pdf July, 25 2020

Sarkar, Sayantan & Mishra, Dheeraj & Ghadei, Kalyan. (2014). Collective Marketing – A Hope for the Farmers. Indian Journal of Crop Ecology. 2. 21-26

Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พัฒนาชนบทอย่างไรให้เข้มแข็ง (2)

พัฒนาชนบทอย่างไรให้เข้มแข็ง (2)

         อุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่ในไนจีเรีย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จในการเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสังคมเมืองไปสู่สังคมชนบท ซึ่งสามารถเพิ่มรายได้และการจ้างงานในชนบทได้ ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจและสังคมเมืองของไนจีเรียมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อสูงขึ้นทั้งในสังคมเมืองและสังคมชนบท ดังนั้นอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่จึงได้รับอานิสงส์ไปด้วย อุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงไก่นี้สร้างงานให้กับเกษตรกรรายย่อยมากกว่า 8 ล้านคน และตำแหน่งงานอีกกว่าหมื่นตำแหน่งในธุรกิจการค้า โรงสี โลจิสติกส์ การขนส่ง และคลังสินค้า

        
           ไม่น่าเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของการบริโภคเนื้อไก่ตลอดช่วง 15 ปีที่ผ่านมานี้ นำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารไก่ที่เติบโตขึ้นกว่า 6 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างประโยชน์ให้กับทุกผู้คนที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมนี้ SME สามารถเติบโตต่อไปได้ เกษตรกรรายย่อยมีกำไรจากการปลูกข้าวโพดทั้งในพื้นที่ทางภาคเหนือและภาคใต้ และยังต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมประมง โดยการปลูกข้าวโพดเพื่อเลี้ยงปลาอีกด้วย ดังนั้นการพัฒนาชนบทให้เข้มแข็ง หัวใจจึงอยู่ที่การสนับสนุนอุตสาหกรรมเกษตร และเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสังคมเมืองกับการผลิตในสังคมชนบท เพื่อที่ประชากรในชนบทจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของสังคมเมืองด้วย ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างงานสร้างรายได้เท่านั้น แต่ยังสามารถลดความเหลื่อมล้ำได้อีกด้วย


        การเชื่อมโยงตลาดดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ภาคชนบทยังต้องอาศัยการพัฒนาอีกมากเช่นกัน โดยเฉพาะมาตรฐานอาหารปลอดภัย และการศึกษา กล่าวคือการจะยกระดับการผลิตให้มีมูลค่าที่สูงขึ้นได้นั้น ต้องมีมาตรฐานสากล มีการรับรองระบบมาตรฐาน ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม จึงจะสามารถเพิ่มตลาดใหม่ๆ เช่น ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหาร  โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ผู้บริโภค ใส่ใจเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยมากขึ้น เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องปรับตัว เพื่อพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค แต่การทำมาตรฐานต้องมีการลงทุนและค่าใช้จ่าย รัฐบาลควรให้การสนับสนุนในส่วนนี้เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยและ SME 
  
        นอกจากนั้น Rob Vos และ Andrea Cattaneo ยังเสนออีกว่าลดภาษีนำเข้า เนื่องจากปัจจัยการผลิตสินค้าเกษตร เช่น ปุ๋ย และเครื่องมือทางการเกษตร ส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้า หากลดภาษีนำเข้าได้ จะเป็นการลดต้นทุนให้กับเกษตรกรรายย่อยได้อีกทางหนึ่ง


        เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจประชากรในชนบทต้องได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพ เช่น การทำธุรกิจ และเทคโนโลยี ซึ่งการได้รับการศึกษาจะช่วยให้พัฒนาฝีมือแรงงานและประกอบอาชีพได้หลากหลาย และยกระดับค่าครองชีพอีกด้วย รัฐบาลจึงควรส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาทั้งระดับอาชีวะและการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมทั้งการอบรมแก่คนทำงาน เพื่อให้มีความรู้สำหรับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ครอบคลุมทั้งความรู้ด้านดิจิตอล กระบวนการผลิต มาตรฐานสากล เทคโนโลยี และการทำธุรกิจ

References 

Vos, R. and Cattaneo, A. (2020). Smallholders and Rural People Making Food System Value Chains Inclusive. Retrieved from http://ebrary.ifpri.org/utils/getfile/collection/p15738coll2/id/133646/filename/133857.pdf July, 3 2020
  





วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

บทเรียนจาก Rurbanomics


บทเรียนจาก Rurbanomics
   
       การฟื้นฟูสังคมชนบทต้องเข้าใจปัญหาของแต่ละพื้นที่ แต่ละชุมชนมีความต้องการที่แตกต่างกัน จึงต้องการการพัฒนาที่ต่างกันด้วย อาทิเช่น ในทวีปแอฟริกาต้องการพัฒนาด้านเกษตรกรรม ในเอเชียใต้ต้องกระจายความเจริญสู่ชนบท เพื่อเพิ่มการจ้างงานในชนบทและลดการอพยพเข้าเมือง สำหรับจีนนั้นต้องปรับปรุงการพัฒนาชนบทเพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมชนบทเพื่อดึงดูดให้คนหนุ่มสาวทำงานในชนบท แทนการอพยพเข้าเมืองใหญ่ การฟื้นฟูสังคมชนบทตามแนวทาง Rurbanomics นั้นพัฒนาในหลายมิติ อย่างเช่น


      1. สร้างความเชื่อมโยงระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบทอย่างเข้มแข็ง โดยการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานอาหารทั้งกระบวนการผลิต การกระจายสินค้า การตลาด การบริการ และสร้างโอกาสใหม่ๆในการทำงานให้กับแรงงานในพื้นที่ชนบท และต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปแบบยั่งยืน หัวใจสำคัญของ Rurbanomics ก็คือสังคมเมืองและสังคมชนบทต้องเป็นพาร์ทเนอร์กันอย่างเท่าเทียม

       2. Rurbanomics ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านเกษตรกรรมเป็นรากฐาน แต่ก็ไม่ละเลยกิจกรรมนอกภาคเกษตร เพราะการเติบโตของภาคการเกษตรจะทำให้ภาคส่วนอื่นเติบโตตามไปด้วย เช่น ภาคอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป การขนส่ง การบริการทางการเงิน และการบ่มเพาะผู้ประกอบการ

       3. องค์กรท้องถิ่นต้องมีธรรมาภิบาลตรวจสอบได้ มีรายได้ที่เพียงพอในการจัดการท้องถิ่นของตนเอง ประชาชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนท้องถิ่นของตนเอง

      Rurbanomics จึงเป็นอีกแนวทางในการพัฒนาชนบทในประเทศไทย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ





References 
  Steiner, A. and Fan, S. (2019). Rural Revitalization Tapping into New Opportunity. Retrieved from https://www.ifpri.org/publication/2019-global-food-policy-report 26 June 2020







ลดความเหลื่อมล้ำด้วย Rurbanomics

ลดความเหลื่อมล้ำด้วย Rurbanomics 
      การฟื้นฟูสังคมชนบทด้วยวิถี Rurbanomics ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาด้านเกษตรกรรมเท่านั้น แต่ยังพลิกฟื้นพื้นที่ชนบทให้เป็นพื้นที่ที่น่าอยู่อีกด้วย เพื่อให้คนหนุ่มสาวมีความหวัง สามารถเติบโตและเข้มแข็งต่อไป โดยไม่ต้องอพยพเข้ามาในสังคมเมือง ซึ่งจะเป็นการลดความแออัดและกระจายความเจริญสู่สังคมชนบทอีกด้วย แต่การจะฟื้นฟูสังคมชนบทได้นั้นต้องลงทุนสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจของสังคมชนบท
     1. ลงทุนด้านเศรษฐกิจ Achim Steiner และ Shenggen Fan เสนอว่าพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อวางรากฐานทางด้านการเกษตรและภาคส่วนอื่นๆไปพร้อมกัน เช่น การศึกษา สาธารณสุข  นอกจากนั้นยังต้องลงทุนด้านการสื่อสาร คมนาคม และระบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการเชื่อมโยงสังคมชนบทกับสังคมเมือง ทำให้เกิดโอกาสทางการตลาดใหม่ๆแก่สินค้าเกษตร ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศบังกลาเทศ เมื่อมีการก่อสร้างถนน ทำให้การขนส่งสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ลดการเน่าเสียของสินค้าเกษตรอันเนื่องมาจากการขนส่งล่าช้า ซึ่งสามารถลดจำนวนประชากรที่ยากจนอย่างมากได้ถึง 3-6% และยังทำให้เด็กที่มีฐานะยากจนสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้

       นอกจากนั้นการพัฒนาด้านเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ เช่น คลองชลประทาน การเพาะปลูก การใส่ปุ๋ย และการเก็บเกี่ยว จะสามารถส่งเสริมกิจกรรมนอกภาคการเกษตรได้อีกด้วย  เช่น ในประเทศจีน เมื่อการเกษตรกรรมได้รับการพัฒนา ความสูญเสียอันเกิดจากภัยธรรมชาติลดลง ก็จะนำไปสู่การลงทุนในด้านนวัตกรรม ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการ และภาคอุตสาหกรรม อันจะส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการในสังคมชนบทมากขึ้น ทำให้เพิ่มอาชีพที่หลากหลาย ทำให้พื้นที่ชนบทเป็นที่ที่น่าอยู่ และเป็นความหวังให้กับคนรุ่นใหม่ได้

      2. การลงทุนด้านเทคโนโลยี อินเตอร์เน็ตและระบบโทรคมนาคมก็เป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยให้ประชากรเข้าถึงแหล่งข้อมูลและราคาตลาด การส่งเสริมให้ประชากรในชนบทสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน จะเป็นอีกทางหนึ่งที่จะเชื่อมโยงสังคมชนบทกับสังคมเมืองได้มากขึ้น ประชากรในชนบทจะสามารถเข้าถึงข้อมูล การบริการทางการเงิน และธนาคารออนไลน์ ซึ่งจะมีส่วนในการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในการประกอบธุรกิจได้ด้วย


      3. การลงทุนด้านการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ อย่างประเทศในแอฟริกา ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา มีระบบการศึกษาที่ไม่ดีพอสำหรับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ทำให้ทางเลือกในการประกอบอาชีพของประชากรมีจำกัด การพัฒนาด้านการศึกษาตามแนวทาง Rurbanomics ต้องส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ประชากรชนบทสามารถอ่านออกเขียนได้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ประชากรสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและราคาตลาด จากนั้นจึงพัฒนาการศึกษาระดับอาชีวะและอุดมศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประชากรในชนบทสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ สร้างเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ และเสริมทักษะในงานด้านบริการให้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงทักษะในโรงงานเท่านั้น การศึกษาต้องเน้นสร้างทักษะเพื่อตอบโจทย์โอกาสทางธุรกิจด้วย

       Rurbanomics คือการพัฒนาสังคมชนบทให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ พัฒนาในทุกมิติ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน

References 
  Steiner, A. and Fan, S. (2019). Rural Revitalization Tapping into New Opportunity. Retrieved from https://www.ifpri.org/publication/2019-global-food-policy-report 26 June 2020